นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แถลงวานนี้ (2 ก.ค.) ว่า ปัจจัยขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นด้านการเงินและการคลังครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประกอบกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะขยายตัวราว 7% ในปีนี้ พร้อมระบุว่า การเปิดเศรษฐกิจของสหรัฐจะกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
IMF ยังระบุว่า หากการตั้งสมมติฐานแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการคลังของ IMF เกิดขึ้นจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่า เฟดอาจจะต้องเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 และจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
นางคริสตาลินาแสดงความเห็นว่า แม้ยังไม่เห็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ “ร้อนแรงเกินไป” แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลก
ทั้งนี้ IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2564 ขึ้นสู่ระดับ 7% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.6% โดยการคาดการณ์ดังกล่าวตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะผ่านร่างกฎหมาย American Jobs Plan วงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และร่างกฎหมาย American Families Plan วงเงิน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาครัวเรือนสหรัฐจากผลกระทบของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ IMF ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในปี 2565 ขึ้นสู่ระดับ 4.9% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 3.5%