รัฐบาลอังกฤษ เตรียมยกเลิกมาตรการกักตัวสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบแล้ว โดยจะเริ่มในช่วงกลางเดือนส.ค.เป็นต้นไป ขณะที่อังกฤษกำลังเตรียม ยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่
ปัจจุบัน ผู้ที่ได้รับแจ้งว่าได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นบวก จะต้องกักตัวเพื่อดูอาการเป็นเวลา 10 วัน แต่นายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษเปิดเผยว่า สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบทั้งสองโดสแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องกักตัวในกรณีดังกล่าว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.นี้เป็นต้นไป
บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ส่วนผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีก็ไม่ต้องแยกออกมากักตัวอีกต่อไปเช่นกัน เว้นแต่จะมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์นี้ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของครอบครัวที่มีเด็กนักเรียนซึ่งต้องแยกออกมากักตัวหลายครั้ง และต้องขาดเรียนในกรณีที่พบผู้ติดเชื้อในชั้นเรียน
นายจาวิดกล่าวว่า ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะได้รับคำแนะนำให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ ทางการอังกฤษยังคงพิจารณาหาแนวทางเพื่อยกเลิกมาตรการกักตัวสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศด้วยเช่นกัน
รายงานข่าวระบุว่า อังกฤษกำลังเดินหน้าปลดล็อกดาวน์ระยะสุดท้ายภายในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ซึ่งครอบคลุมถึงการยกเลิกบังคับสวมหน้ากาก และการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะเดียวกัน องค์กรธุรกิจและหน่วยงาน ก็เริ่มประกาศให้พนักงานที่เคยทำงานจากบ้านกลับเข้าออฟฟิศมาทำงานตามปกติ
โดยเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา นายบอริส จอห์นสัน ยืนยันว่าข้อจำกัดควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่วนใหญ่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 19 ก.ค. นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานปลดล็อกดาวน์ระยะสุดท้ายของอังกฤษ โดยการบังคับใส่หน้ากากอนามัยและกฎระเบียบเว้นระยะห่างจะไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป แต่ประชาชนก็สามารถเลือกสวมหน้ากากอนามัยต่อไปได้ หากต้องการจะทำเช่นนั้น
ขณะเดียวกันอังกฤษจะยกเลิกกฎระเบียบห้ามรวมตัวในพื้นที่ส่วนตัวไม่เกิน 6 คน และคำแนะนำทำงานจากที่บ้าน รวมถึงประชาชนไม่จำเป็นต้องแสดงใบรับรองเกี่ยวกับโรคโควิด-19 เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมหรือสถานที่ต่างๆ อีกต่อไป
ด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็ได้ขอความร่วมมือให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ตั้งแต่เดือนก.ย.นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักรมีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะข้อจำกัดควบคุมโรคโควิด-19 ในอังกฤษเท่านั้น ส่วนรัฐบาลสกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ มีหน้าที่รับผิดชอบต่อนโยบายด้านสาธารณสุขของตนเอง
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้จะเป็นการทดสอบว่า การเร่งฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วในอังกฤษนั้น เพียงพอที่จะป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม นายบอริส จอห์นสัน ยอมรับว่า การระบาดใหญ่ “ยังคงไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ” และประชาชนก็จำเป็นต้อง “ยอมรับว่าอาจมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก”
ข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.ค.ชี้ว่า อังกฤษตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 27,334 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมง ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 4,930,534 ราย และพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มอีก 9 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยเสียชีวิตรวมอยู่ที่ 128,231 ราย โดยนับเฉพาะผู้เสียชีวิตภายใน 28 วันหลังผลตรวจโรคเป็นบวกครั้งแรก โดยยอดผู้เสียชีวิตในรอบ 1 สัปดาห์ นับตั้งแต่ 25 มิ.ย.-7 ก.ค.อยู่ที่ 128 คนหรือเฉลี่ยวันละ 18 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในอังกฤษนั้น ข้อมูล ณ วันที่ 4 ก.ค. 2564 ชี้ว่า มีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้วกว่า 78 ล้านโดส โดยแบ่งเป็นการฉีดโดสแรกให้ประชาชนมากกว่า 45.3 ล้านคน และโดสสองมากกว่า 33.7 ล้านคน ทั้งนี้ 63.4% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในอังกฤษได้รับวัคซีนทั้ง 2 โดสแล้ว