รัฐบาลสหรัฐ กำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ต้องเร่งมือเพิ่ม อัตราการฉีดวัคซีน ภายในประเทศ เนื่องจากจำนวน ผู้ติดเชื้อโควิดรายวัน ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐยังคงครองแชมป์ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิดสะสมสูงที่สุดในโลกที่ 34,618,004 ราย และยอดผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด 609,652 รายซึ่งเป็นสถิติอันดับ1ของโลกเช่นกัน (ข้อมูล ณ 26 ก.ค.) อัตราการติดเชื้อรายวันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 52,486 ราย และในช่วง 7 วันที่ผ่านมา อัตราการติดเชื้อโควิดของสหรัฐอยู่ที่ 111 คนต่อประชากร 100,000 คน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกร้องให้ประชาชนอเมริกันร่วมมือในการก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ด้วยการมาเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากและให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนถึงวันนี้ (27 ก.ค.) สหรัฐฉีดวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้วอย่างน้อย 341,818,968 โดส ซึ่งหากประชาชน 1 คนต้องรับวัคซีน 2 โดส ก็เท่ากับว่าสหรัฐเพิ่งฉีดวัคซีนครอบคลุมประมาณ 52.1% ของประชากรทั้งประเทศ นับว่ายังต่ำกว่าเป้าหมายที่เดิมตั้งไว้ว่าจะให้ครอบคลุม 70% เพื่อสร้างภูมิคุมกันหมู่ตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.
หน่วยงานรัฐจึงเริ่มขยับใช้มาตรการภาคบังคับให้บุคลากรในองค์กรต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยเมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) กระทรวงการทหารผ่านศึก (Department of Veterans Affairs หรือ VA) เป็นหน่วยงานแรกที่ประกาศให้บุคคลากรทุกคนในแผนกการแพทย์ที่ถือเป็นด่านหน้าของกระทรวงต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน
การเคลื่อนไหวของกระทรวงครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ 56 กลุ่มองค์กรด้านการแพทย์ในสหรัฐได้ออกมาเรียกร้องให้มีการบังคับฉีดวัคซีนสำหรับบุคลากรการแพทย์ทุกคนที่ต้องเผชิญหรือทำงานเสี่ยงกับการสัมผัสไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า
ในส่วนของกระทรวง VA นั้น บุคลากรมีเวลา 8 สัปดาห์สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ครบโดส แถลงการณ์ของกระทรวงระบุว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีบุคลากรของกระทรวง 4 คนที่เสียชีวิตเพราะติดเชื้อโควิด-19 และทั้ง 4 คนก็เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขคาดการณ์ว่า จะเกิดกระแสการบังคับฉีดวัคซีนระลอกใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนที่ต้องการวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาฉีดให้กับบุคลากรหรือพนักงานในองค์กร กระแสที่ว่านี้จะได้รับการขับเคลื่อนมากขึ้นหากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ หรือ FDA อนุมัติการใช้วัคซีนอย่างเต็มรูปแบบ (นอกเหนือไปจากการอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน) ที่จะทำให้การเข้าถึงวัคซีนในตลาดทำได้ง่ายขึ้น
สถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐได้เรียกร้องการบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดภายในรอบรั้วสถาบันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็มีกระแสคัดค้านอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะจากนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและนักการเมืองฝั่งอนุรักษ์นิยม เพราะมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของปักเจกบุคคลว่าต้องการจะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีน
ก่อนหน้านี้ในปีค.ศ. 1905 เคยมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการบังคับฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษในสหรัฐอเมริกา โดยศาลสูงสุดได้ตัดสินระงับคำสั่งขององค์การปกครองระดับท้องถิ่นที่บังคับประชาชนวัยผู้ใหญ่ทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดดังกล่าว หลังจากนั้นมาการตัดสินใจส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลแต่ละมลรัฐ
ล่าสุดรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งกำลังประสบภาวะการติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นสูงโดยเฉพาะในหมู่ประชากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ได้ประกาศวานนี้ (26 ก.ค.) ว่าตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป พนักงานหรือบุคลากรด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน ซึ่งมีจำนวนหลายล้านคน ต้องแสดงหลักฐานว่าได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็จะต้องถูกตรวจเชื้อโควิดรายสัปดาห์ ในวันเดียวกันนั้น นายบิล เดอบลาสิโอ นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก ก็ได้ประกาศมาตรการในลักษณะเดียวกันคือ ออกคำสั่งระบุให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐจำนวนประมาณ 340,000 คนรวมทั้งครูและตำรวจ ต้องแสดงหลักฐานว่าได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุก ๆสัปดาห์