การตัดสินใจ ไม่ยกเลิกข้อจำกัดการเดินทาง ของรัฐบาลสหรัฐครั้งนี้ มีขึ้นหลังการประชุมระดับสูงของทำเนียบขาว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ก.ค.) ซึ่งระบุว่า ข้อจำกัดเกี่ยวกับการเดินทาง ระยะยาวจะยังไม่ถูกยกเลิกในเร็ววันนี้
นางเจน ซากี โฆษกหญิงทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ณ จุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา ที่แพร่ระบาดอย่างหนักทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ เป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐจำเป็นต้องคงข้อจำกัดการเดินทางเอาไว้เช่นเดิม
"ไวรัสสายพันธุ์เดลตาทำให้จำนวนผู้ป่วยในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” โฆษกทำเนียบขาวกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นข่าวร้ายของอุตสาหกรรมสายการบินและการท่องเที่ยวของสหรัฐที่คาดหวังว่าได้ลูกค้าต่างชาติในช่วงฤดูร้อนนี้ โดยสายการบินต่างๆ พยายามโน้มน้าวทำเนียบขาวเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อให้ยกเลิกข้อจำกัดการเดินทาง เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงคาดว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทางท่องเที่ยวเหล่านี้ อาจจะต้องรอคอยจนถึงเดือนกันยายนหรือหลังจากนั้น เพื่อที่จะมีการพิจารณาแก้ไขกฎเกณฑ์ดังกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า นับตั้งแต่เดือนม.ค.เป็นต้นมา สหรัฐตั้งเงื่อนไขให้ผู้ที่จะเดินทางเข้ามายังสหรัฐ ซึ่งรวมถึงพลเมืองอเมริกัน ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ต้องแสดงหลักฐานว่าพวกเขาได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 มาแล้วและผลเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ)
สหรัฐยังห้ามผู้ที่เดินทางมาจาก 26 ประเทศกลุ่มเชงเก้น (Schengen Zone)เข้าสหรัฐ แม้ว่าจะมีบางประเทศในกลุ่มนี้ที่มีอัตราการติดเชื้อโควิดต่ำกว่าบางประเทศที่สหรัฐยอมให้เข้า
นอกจากนี้ สหรัฐยังห้ามผู้ที่เดินทางมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ บราซิล แอฟริกาใต้ อิหร่าน และจีน เข้าประเทศสหรัฐ เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์เดลตาในประเทศเหล่านี้
ทั้งนี้ คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้พูดคุยกับบรรดาสายการบินสหรัฐในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการดำเนินการติดตามผู้โดยสารที่มีความเสี่ยงสัมผัสโรค เพื่อประเมินผลกระทบในทุกๆด้านก่อนที่จะมีการตัดสินใจยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางในอนาคตข้างหน้า