แถลงการณ์ของ เฟซบุ๊ก สะท้อนถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดกลายพันธุ์ “เดลต้า” (Delta) ที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในหลายพื้นที่ของ สหรัฐอเมริกา พุ่งสูงขึ้น ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า สุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงผู้คนในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับบริษัท “เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ และข้อบังคับในชุมชนที่เพิ่มขึ้น เราจึงนำข้อบังคับเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยกลับมาใช้อีกครั้งกับพนักงานทั้งที่ยังไม่ฉีดวัคซีนหรือฉีดวัคซีนแล้วก็ตามในสำนักงานเฟซบุ๊กทุกแห่งในสหรัฐอเมริกา"
นโยบายใหม่ของเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในสำนักงานนี้ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันพุธนี้ (4 ส.ค.) และจะใช้ไปจนกว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานท้องถิ่นหลายแห่งในพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโกได้ออกคำสั่งเช่นเดียวกันเพื่อให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในอาคารตามสถานที่สาธารณะต่างๆ
รายงานข่าวระบุว่า นโยบายการสวมหน้ากากอนามัยในสำนักงานของเฟซบุ๊กนั้นเกิดขึ้นตามมา หลังจากที่บริษัทประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่าจะพนักงานในสหรัฐทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนก่อนที่จะกลับเข้าทำงานในสำนักงาน
ทั้งนี้ บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เฟซบุ๊กเพียงแห่งเดียวที่กลับมาใช้มาตรการความปลอดภัยด้านสาธารณสุขที่เข้มงวดมากขึ้น หลังจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งเนื่องจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดอยู่ในขณะนี้สามารถแพร่ระบาดได้ไว นอกจากนี้ นักวิจัยยังเชื่อว่าไวรัสโควิดเดลต้ายังอาจสามารถหลบหลีกการป้องกันของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย
ด้านบริษัทกูเกิลได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาให้พนักงานต้องฉีดวัคซีน และเลื่อนกำหนดการกลับเข้าออฟฟิศออกไปจนถึงเดือนต.ค. ขณะที่บริษัทแอปเปิลได้ชะลอแผนการกลับเข้าออฟฟิศไปเป็นเดือนต.ค.เช่นกัน
ปัจจุบัน สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมจำนวน 35,768,924 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 629,380 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ส.ค. จากเว็บไซต์ Worldometer) กล่าวได้ว่า สหรัฐครองตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกทั้งในแง่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดย