วัคซีนไฟเซอร์ 1 ล้านโดส สหรัฐยืนยันพร้อมบริจาคให้เวียดนาม

25 ส.ค. 2564 | 14:18 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ส.ค. 2564 | 21:25 น.

 "คามาลา แฮร์ริส" รองประธานาธิบดีสหรัฐ กระชับสัมพันธไมตรี ยืนยันสหรัฐจะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ให้เวียดนามอีก 1 ล้านโดสสำหรับการรับมือกับโควิด-19

นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดเผยในระหว่างการพบปะกับ นายฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ในวันนี้ (25 ส.ค.) ว่า รัฐบาล สหรัฐจะบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-บิออนเทค ให้กับเวียดนามอีกจำนวน 1 ล้านโดส

 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการยืนยันการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวก่อนหน้านี้ว่า นางแฮร์ริสจะเสนอความช่วยเหลือในการจัดหาวัคซีนให้กับเวียดนามในระหว่างการเดินทางเยือนประเทศเวียดนามในช่วงสัปดาห์นี้ โดยมีเป้าหมายที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในช่วงเวลาที่จีนกำลังแผ่ขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้

รองปธน.สหรัฐเยือนเวียดนามสัปดาห์นี้

นางแฮร์ริสมีกำหนดพบปะหารือเกี่ยวกับความมั่นคงด้านสาธารณสุข ร่วมกับบรรดาเจ้าหน้าที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในวันนี้ ก่อนที่จะร่วมพิธีเปิดสำนักงานศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกาประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในกรุงฮานอย ขณะที่สถานทูตสหรัฐในกรุงฮานอยเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหรัฐได้บริจาควัคซีนให้แก่เวียดนามแล้วเป็นจำนวน 5 ล้านโดส

 

ข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า เวียดนามมีประชาชนเพียง 1.9% เท่านั้นจาก 98 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราต่ำสุดในบรรดาประเทศเอเชีย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (24 ส.ค.) เวียดนามได้ประกาศว่า รัฐบาลจีนจะบริจาควัคซีนให้กับเวียดนามอีก 2 ล้านโดสในเร็ว ๆ นี้

 

ทั้งนี้ วัคซีนถือเป็นกลยุทธ์ที่สหรัฐใช้เป็นช่องทางการทูตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีเป้าหมายที่สร้างความสัมพันธ์กับประเทศที่อยู่ใกล้ชิดกับจีน โดยส่งนายลอยด์ ออสติน รมว.กลาโหมสหรัฐ และรองปธน.แฮร์ริสเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชีย

คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่า นางแฮร์ริสได้เดินทางออกจากสิงคโปร์ล่าช้ากว่ากำหนด 3 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (24 ส.ค.) เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสาธารณสุขที่ไม่ปกติในกรุงฮานอย หลังจากพบว่ามีผู้ล้มป่วยด้วย อาการ "ฮาวานา ซินโดรม" ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการไมเกรน วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และสูญเสียความทรงจำ โดยกลุ่มอาการดังกล่าวได้ชื่อเช่นนี้ เนื่องจากมีการตรวจพบครั้งแรกในหมู่เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐประจำกรุงฮาวานา ในประเทศคิวบาเมื่อปี 2559