นายแฮร์รี โร้ก โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ แถลงวานนี้ (31 ส.ค.) ว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์ ได้ขยายเวลาห้ามผู้ที่เดินทางมาจากไทยและอีก 9 ประเทศเข้าฟิลิปปินส์จนถึงวันที่ 5 ก.ย. ศกนี้ จากเดิมที่กำหนดสิ้นสุดในวันที่ 31 ส.ค.เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกเหนือจากไทยแล้ว อีก 9 ประเทศดังกล่าว ได้แก่ อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน เนปาล บังกลาเทศ ศรีลังกา โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก็ถูกระงับการเดินทางเข้าฟิลิปปินส์เช่นกัน
อย่างไรก็ดี รัฐบาลฟิลิปปินส์อนุญาตให้ชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานในต่างแดนสามารถเดินทางกลับประเทศได้ภายใต้โครงการส่งตัวกลับประเทศ (Repatriation Program) แต่จะต้องถูกกักตัวเป็นเวลา 14 วันเมื่อเดินทางมาถึง
ข้อมูลเมื่อต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ชี้ว่า มีชาวฟิลิปปินส์ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว จำนวนกว่า 10 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 9% ของประชากรทั้งประเทศ
ประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต มีนโยบายชัดเจนว่า เขาต้องการให้ประชาชนชาวฟิลิปปินส์เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยระบุว่า ประชาชนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนควรอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น และหากพยายามออกจากบ้าน จะมีตำรวจพากลับบ้านไป เพราะคนเหล่านี้คือ “ผู้แพร่เชื้อที่เดินได้” ท่าทีดังกล่าวของผู้นำประเทศ มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนกันมากขึ้น ขณะเดียวกัน มีการประกาศล็อกดาวน์กรุงมะนิลา เมืองหลวง ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ และบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิว 8 ชั่วโมงในตอนกลางคืน ส่งผลกระทบต่อประชากรราว 13 ล้านคน
แม้ว่าหลายฝ่ายจะแสดงความกังวลใจว่ามาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่นี้ อาจจะทำให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ทรุดหนักลงกว่าเดิมสืบเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ครั้งก่อน ที่มีมาตรการข้อจำกัดหลายอย่าง รวมทั้งการห้ามเด็กและเยาวชนออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน และมีผลทำให้ชาวฟิลิปปินส์ตกงานหลายล้านคน แต่รัฐบาลก็ยืนยันว่า การล็อกดาวน์ครั้งนี้เป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากไม่เริ่มต้นล็อกดาวน์กรุงมะนิลาอีกครั้ง ยอดผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาที่พุ่งขึ้น จะทำให้ระบบสาธารณสุขของกรุงมะนิลาล่มสลายได้
สถิติล่าสุดวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อโควิดสะสมในฟิลิปปินส์ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.98 ล้านราย ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดรวม 33,330 ราย
จับมือจีนทดลองวัคซีนต้านโควิดรุ่นใหม่ “โปรตีนลูกผสม”
ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลฟิลิปปินส์ในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในทุกวิถีทาง ซึ่งรวมถึงการตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนแบบวอล์กอิน (Walk-In) ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ล่าสุดเมื่อวานนี้ ( 31 ส.ค.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของฟิลิปปินส์ ยังประกาศอนุมัติการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 สำหรับวัคซีน “วี-01” เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยรับสมัครผู้เข้าร่วมทดลองที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีการฉีดวัคซีนโดสแรกให้แก่ผู้ร่วมทดลองคนแรก เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา
สำนักข่าวซินหัว สื่อใหญ่ของจีน รายงานว่า “วัคซีนวี-01” เป็นวัคซีนลูกผสมซึ่งพัฒนาโดยสถาบันชีวฟิสิกส์ สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน และบริษัท ลิฟซอน ฟาร์มาซูติคอล กรุ๊ป อิงก์ ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน เป็นวัคซีนชนิด “โปรตีนลูกผสม” ที่มีส่วนยึดจับกับตัวรับบนผิวเซลล์ แบบแอนติเจน ซึ่งส่วนที่ยึดจับกับตัวรับถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดของโปรตีนหนามของเชื้อไวรัสที่จับกับตัวรับเอซีอี 2 ในเซลล์มนุษย์ โดยกระบวนการจับกับตัวรับนั้นทำให้เชื้อไวรัสเข้าถึงเซลล์มนุษย์และนำไปสู่การติดเชื้อในที่สุด
นายหู เจิ้นเซียง รองประธานลิฟซอน กล่าวว่า การทดลองระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ของวัคซีนวี-01 ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ โดยการทดลองทั้งเฟส 1 และ 2 มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 1,060 คน ซึ่งระยะที่ 2 มีผู้เข้าร่วม 880 คน แบ่งเป็นกลุ่มอายุ 18-59 ปี จำนวน 440 คน และผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปอีก 440 คน โดยผู้เข้าร่วมที่มีอายุมากที่สุดคือ 83 ปี ผลการทดลองทั้งสองระยะไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงที่เกิดจากวัคซีน โดยพบอาการไม่พึงประสงค์อยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงและสามารถฟื้นตัวได้เองภายใน 3 วัน ขณะอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันใหม่นั้นสูงถึง 97% หลังรับวัคซีนวี-01 จำนวน 2 โดส
นักวิจัยระบุว่า วัคซีนวี-01 สามารถสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างรวดเร็ว ทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มผู้สูงอายุ โดยผลการวัดค่าเฉลี่ยระดับภูมิคุ้มกันของระดับแอนติบอดีลบล้างฤทธิ์ระหว่างทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกันยังมีการนำวัคซีนดังกล่าวไปทดสอบกับเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์ต่างๆ และพบว่าสามารถต่อต้านเชื้อสายพันธุ์เดลตา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อมูลการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ของวัคซีนวี-01 มีการเผยแพร่ในวารสารอีเมอร์จิง ไมโครบส์ แอนด์ อินเฟกชันส์ และวารสารการแพทย์แห่งชาติจีนฉบับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา