นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว ตั้งข้อสังเกตว่า ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ หรือที่รู้จักกันในนาม “เอเวอร์แกรนด์” เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับจีน ขณะเดียวกัน สหรัฐกำลังจับตาตลาดโลกอย่างใกล้ชิดผ่านทาง กระทรวงการคลังสหรัฐ โดยมีการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และขอยืนยันว่า สหรัฐพร้อมรับมือ หากมีความจำเป็น
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ (20 ก.ย.) ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 800 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2563 เป็นต้นมา ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้
นายแลร์รี เบรนนาร์ด นักวิเคราะห์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ด ระบุว่า การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์จะทำให้วิกฤตการณ์ทางการเงินลุกลามออกไปจนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ก่อนหน้านี้ เอเวอร์แกรนด์ออกแถลงการณ์ยอมรับว่า บริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ขณะที่บริษัทมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดในเดือนกันยายน ได้แก่
หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันในการชำระดอกเบี้ย มิฉะนั้น จะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ตกอยู่ในสภาพผิดนัดชำระหนี้ ทางบริษัทจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนต่ำ
ข้อมูลที่มีการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ระบุว่า เอเวอร์แกรนด์มีตราสารเชิงพาณิชย์มูลค่ารวม 2.057 แสนล้านหยวน (3.2 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือราว 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2563
มีการประเมินว่า ขณะนี้เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 10 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน