นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันอังคาร (28 ก.ย.) ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดี (30 ก.ย.) เพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และเน้นย้ำความสำคัญของการใช้นโยบายการเงินและการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
"สิ่งที่ผมกล่าวในสัปดาห์ที่แล้วก็คือ เรายังไม่ผ่านการทดสอบสำหรับการถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน และผมกล่าวอย่างชัดเจนว่าเรายังคงห่างไกลจากการผ่านการทดสอบเรื่องการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ" ประธานเฟดยังได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะลงมือดำเนินการหากเงินเฟ้อยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ พาวเวลล์เตือนว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้ชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และสหรัฐจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้
“เงินเฟ้อได้เร่งตัวขึ้นในขณะนี้ และมีแนวโน้มยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ก่อนที่จะอ่อนตัวลง” ช่วงหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ
ประธานเฟดยังกล่าวว่า ขณะที่สหรัฐทำการเปิดเศรษฐกิจและเพิ่มการใช้จ่าย จะเกิดแรงกดดันของราคาในช่วงขาขึ้นอันเนื่องจากเกิดภาวะคอขวดของอุปทาน ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะรุนแรงขึ้นและกินเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่จะคลี่คลายลงในที่สุด และเงินเฟ้อจะอ่อนตัวลงสู่เป้าหมายระยะยาวของสหรัฐที่ 2% ในที่สุด
แต่สิ่งที่เขาเห็นว่ายังเป็นปัจจัยสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ก็คือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สอดคล้องกับถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ที่กล่าวถึงประเด็นนี้เช่นกันขณะเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวและเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ
"เศรษฐกิจของเรามีการขยายตัว และการจ้างงานได้ฟื้นตัวขึ้นจากปีที่แล้ว แต่เรายังคงเผชิญการท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเป็นอุปสรรคต่อการมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่ดิฉันยังคงมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง และคาดว่าสหรัฐจะมีการจ้างงานเต็มศักยภาพในปีหน้า"
นางเยลเลนกล่าวในตอนท้ายของแถลงการณ์ว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่สภาคองเกรสจะต้องแก้ไขปัญหาเพดานหนี้โดยเร็ว เนื่องจากความเชื่อมั่นและอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจะได้รับผลกระทบ และหากเป็นเช่นนั้นสหรัฐจะสุ่มเสี่ยงต้องเผชิญกับวิกฤตทางการเงินและภาวะเศรษฐกิจถดถอย