ศาลอุทธรณ์สหรัฐ ประกาศวานนี้ (7 พ.ย.) ระงับการบังคับใช้ คำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำหนดให้บริษัทในสหรัฐที่มีพนักงานมากกว่า 100 คนขึ้นไป ต้องให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยศาลอุทธรณ์ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวขัดต่อหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ คำสั่งของประธานาธิบดีไบเดนระบุว่า เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป บริษัทเอกชนในสหรัฐที่มีพนักงานอย่างน้อย 100 คนจะต้องให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาจำนวน 2 เข็ม หรือวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันจำนวน 1 เข็ม และหากพนักงานคนใดไม่ปฏิบัติตาม ก็จะต้องถูกตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างเป็นประจำ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากที่รัฐต่าง ๆ ซึ่งเป็นฐานเสียงพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนี้ ได้ยื่นฟ้องคณะบริหารของประธานาธิบดีไบเดนที่มาจากพรรคเดโมแครต เพื่อให้ยกเลิกคำสั่งบังคับให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยโต้แย้งว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลาง
ด้านนางซีมา นันดา หัวหน้าฝ่ายกฎหมายกระทรวงแรงงานสหรัฐ ระบุว่า ทางกระทรวงฯเชื่อมั่นว่าคำสั่งของประธานาธิบดีไบเดนในเรื่องดังกล่าว อยู่ในขอบเขตอำนาจตามกฎหมายของกระทรวงแรงงาน โดยคำสั่งครั้งนี้จะบังคับใช้โดยสำนักงานบริหารความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการประกอบอาชีพของสหรัฐ (OSHA)
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศ แผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดในสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลสหรัฐตั้งเป้าระดมฉีดวัคซีนต้านโควิดให้กับประชาชน 3 กลุ่มหลักได้แก่
ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมชาวอเมริกันราว 100 ล้านคน หรือเกือบ ๆ 2 ใน 3 ของประชากรวัยทำงานทั้งประเทศ
ประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจของแผนยุทธศาสตร์เพื่อการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 รอบใหม่นี้ คือการให้กระทรวงแรงงานรับหน้าที่เป็นผู้ประสานกับบรรดาบริษัทเอกชนที่มีพนักงาน 100 คนขึ้นไป ให้จัดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้กับพนักงานทุกคน หรือหากไม่ฉีดก็จะต้องมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง แผนงานดังกล่าวมีขึ้นภายหลังจากที่ประธานาธิบดีได้ปรึกษาหารือแล้วกับเจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายและสาธารณสุข บริษัทที่ละเมิดหรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้จะต้องถูกปรับเป็นเงินหลายพันดอลลาร์ หรืออาจสูงถึง 14,000 ดอลลาร์/พนักงาน 1 คนที่ไม่ปฏิบัติตาม
แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า พนักงานไปรษณีย์ซึ่งเป็นหน่วยงานกึ่งรัฐกึ่งเอกชน มีพนักงานทั่วประเทศมากกว่า 640,000 คน ก็ตกอยู่ในกฎกติกาใหม่นี้ด้วย นั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่เช่นนั้นก็ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุกสัปดาห์
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไบเดนยังลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) กำหนดให้ลูกจ้างทุกคนของหน่วยงานรัฐบาลต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยพวกเขาไม่มีทางเลือกให้ตรวจหาเชื้อทุกสัปดาห์หรือเลือกที่จะไม่ฉีด ประธานาธิบดียังลงนามคำสั่งอีกฉบับให้ใช้กฎกติกาเดียวกันนี้กับบริษัทเอกชนที่ต้องทำงานใกล้ชิดและรับงานประมูลของหน่วยงานรัฐบาลด้วย
รัฐบาลกลางตระหนักดีว่าการบังคับให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ร่วมโครงการบังคับฉีดวัคซีนให้พนักงานอาจเป็นเรื่องที่จะมีการฟ้องร้องกันในศาลได้
กฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในสหรัฐเกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดหนักระลอกใหม่ของไวรัสโควิดกลายพันธุ์ “เดลต้า” ที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นสายพันธุ์หลักของการติดเชื้อในสหรัฐเวลานี้ ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งเกิดภาวะผู้ป่วยล้น ขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากโควิดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อยู่ในเกณฑ์ต่ำ
แผนการยุทธศาสตร์พิชิตโควิด-19 ของปธน.ไบเดนมี 6 ข้อสำคัญ หรือเรียกว่า 6 เสาหลัก นอกเหนือจากการระดมฉีดวัคซีนในหน่วยงานภาครัฐและธุรกิจเอกชน โดยเน้นไปที่ประชาชนกลุ่มที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นเสาหลักแรก ที่เหลืออีก 5 เสาได้แก่
มาตรการอื่น ๆ ในการพิชิตโควิด-19 ในสหรัฐภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังประกอบด้วย
การขยายขอบเขตการตรวจหาเชื้อโควิดฟรีให้ครอบคลุมประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ หลายโรงเรียนให้เด็ก ๆ กลับเข้าห้องเรียนแล้ว และหลายบริษัทก็ให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ จึงต้องยิ่งเร่งมือตรวจหาเชื้อเพื่อสามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาศัยพรบ.การผลิตทางด้านกลาโหมซึ่งเคยใช้ในยามสงคราม พรบ.ดังกล่าวให้บริษัทเอกชนช่วยรัฐผลิตสิ่งของที่จำเป็นภายใต้ภาะฉุกเฉิน เช่นเครื่องตรวจหาเชื้อแบบได้ผลเร็ว (rapid tests) เพื่อที่สามารถจะนำมาแจกจ่ายให้โดยประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ขณะนี้รัฐบาลมีแผนแจกฟรีชุดตรวจ 25 ล้านชุดผ่านทางคลินิกและสำนักงานอนามัยในพื้นที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ ผู้ค้าอย่างแอมะซอน , โครเกอร์ และวอลมาร์ท จะวางจำหน่ายชุดตรวจหาเชื้อที่ทำได้เองที่บ้านในราคาย่อมเยาแก่ประชาชนด้วย
รัฐบาลยังขอให้สถานบันเทิงขนาดใหญ่ เช่น โรงภาพยนตร์ ต้องให้ผู้ชมหรือลูกค้าแสดงหลักฐานก่อนเข้าสถานที่ว่า ตนเองได้รับวัคซีนมากี่เข็มแล้ว หรืออย่างน้อยต้องมีหลักฐานแสดงการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่าเป็นลบ นอกจากนี้ ผู้โดยสารเครื่องบินที่ปฏิเสธจะไม่สวมใส่แมสก์ขณะเดินทางอยู่บนเครื่องบิน จะต้องถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า