“ไบเดน” แถลงยุทธศาสตร์ใหม่พิชิตโควิด ระดมฉีดวัคซีนภาครัฐ-เอกชน

10 ก.ย. 2564 | 09:09 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2564 | 16:38 น.

สหรัฐอเมริกาเอาจริงกับการระดมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนที่ยังคงเพิกเฉยกับการฉีดวัคซีน “โจ ไบเดน” ลั่นจำเป็นต้องบังคับฉีดผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมประชาชน 100 ล้านคน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่ง ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดใน สหรัฐอเมริกา เมื่อวานนี้ (9 ก.ย.) โดยจะเร่งระดมฉีดวัคซีนต้านโควิดให้กับประชาชน 3 กลุ่มหลักได้แก่ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาล พนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ และบุคลากรด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมชาวอเมริกันราว 100 ล้านคน หรือเกือบ ๆ 2 ใน 3 ของประชากรวัยทำงาน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน

นับเป็นโครงการวัคซีนขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน “เราอดทนมาโดยตลอด และตอนนี้ความอดทนนั้นก็เหลือน้อยลง ๆทุกที การปฏิเสธ (ที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด) ของพวกคุณมันทำให้พวกเราทุกคนต้องมาชดใช้” เป็นเนื้อหาที่ผู้นำสหรัฐต้องการสื่อตรงไปยังชาวอเมริกันที่ยังไม่ยอมฉีดวัคซีน แม้ว่าจะมีหลักฐานยืนยันทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน อีกทั้งวัคซีนบางตัว เช่น ไฟเซอร์/บิออนเทค ก็ได้รับอนุมัติการใช้อย่างเต็มรูปแบบ (full approval) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตาม

 

ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวเมื่อวานนี้ (9 ก.ย.) ว่า สหรัฐอเมริกาที่ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว กลับต้องหงุดหงิดใจมากขึ้นเรื่อย ๆกับ 80 ล้านคนที่ยังไม่ยอมฉีดวัคซีนและมีส่วนในการแพร่กระจายโรคระบาดออกไป อย่างไรก็ดี เขายอมรับว่า มาตรการใหม่ล่าสุดที่ประกาศใช้วันนี้ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างหมดจดและรวดเร็ว

 

“ขณะนี้สถานการณ์ในอเมริกาดีขึ้นมากหากเทียบกับเมื่อ 7 เดือนก่อนตอนที่ผมเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง แต่มีความจริงอีกประการที่ผมจำเป็นต้องบอกทุกคน คือตอนนี้สถานการณ์กำลังตึงมือมากและเราคงต้านได้อีกไม่นาน” ปธน.ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาว

ประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจของแผนยุทธศาสตร์เพื่อการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 รอบใหม่นี้ คือการให้กระทรวงแรงงานรับหน้าที่เป็นผู้ประสานกับบรรดาบริษัทเอกชนที่มีพนักงาน 100 คนขึ้นไป ให้จัดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้กับพนักงานทุกคน หรือหากไม่ฉีดก็ต้องมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง  แผนงานดังกล่าวมีขึ้นภายหลังจากที่ประธานาธิบดีได้ปรึกษาหารือแล้วกับเจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายและสาธารณสุข บริษัทที่ละเมิดหรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้จะต้องถูกปรับเป็นเงินหลายพันดอลลาร์ หรืออาจสูงถึง 14,000 ดอลลาร์/พนักงาน 1 คนที่ไม่ปฏิบัติตาม

 

แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า พนักงานไปรษณีย์ซึ่งเป็นหน่วยงานกึ่งรัฐกึ่งเอกชน มีพนักงานทั่วประเทศมากกว่า 640,000 คน ก็ตกอยู่ในกฎกติกาใหม่นี้ด้วย นั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่เช่นนั้นก็ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุกสัปดาห์    

 

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไบเดนยังลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) กำหนดให้ลูกจ้างทุกคนของหน่วยงานรัฐบาลต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่มีทางเลือกให้ตรวจหาเชื้อทุกสัปดาห์ หรือเลือกที่จะไม่ฉีด ประธานาธิบดียังลงนามคำสั่งอีกฉบับให้ใช้กฎกติกาเดียวกันนี้กับบริษัทเอกชนที่ต้องทำงานใกล้ชิดและรับงานประมูลของหน่วยงานรัฐบาล

“ไบเดน” แถลงยุทธศาสตร์ใหม่พิชิตโควิด ระดมฉีดวัคซีนภาครัฐ-เอกชน

ผู้นำสหรัฐยังระบุว่า มีนักการศึกษา (educator) ราว 300,000 คนที่เข้าร่วมโครงการนำร่องของรัฐบาลกลาง บุคลากรเหล่านี้ต้องได้รับการฉีดวัคซีนทุกคน ปธน.ไบเดนยังเรียกร้องให้บรรดาผู้ว่าการรัฐไปหารือกับบรรดาสถาบันการศึกษาเพื่อขอให้ครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีน

บุคลากรอีกกลุ่มที่ไบเดนต้องการให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดทุกคนคือ เจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครด้านสาธารณสุขที่ทำงานประจำศูนย์ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุน Medicare และ Medicaid ที่มีจำนวนราว 17 ล้านคนทั่วประเทศ เขายังต้องการให้บุคลากรสาธารณสุขทุกคนในโรงพยาบาล ศูนย์พักฟื้นคนชรา และศูนย์การแพทย์ทั่วประเทศ อยู่ในข่ายต้องเข้ารับวัคซีนทุกคนด้วย

 

“เรามีเครื่องมือที่จะต่อกรกับไวรัสโควิด เราต้องร่วมมือกันใช้เครื่องมือเหล่านี้” ไบเดนกล่าว ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของเขาอาจจะยังมีความลังเลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึง แต่ตอนนี้เขาไม่มีข้อสงสัยใด ๆแล้ว นอกจากพร้อมเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนต้านโควิดให้แก่ประชาชนให้มากที่สุดและเร็วที่สุด

 

ทั้งนี้ รัฐบาลกลางตระหนักดีว่าการบังคับให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ร่วมโครงการบังคับฉีดวัคซีนให้พนักงานอาจเป็นเรื่องที่จะมีการฟ้องร้องกันในศาลได้   

 

กฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในสหรัฐเกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดหนักระลอกใหม่ของไวรัสโควิดกลายพันธุ์ “เดลต้า” ที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นสายพันธุ์หลักของการติดเชื้อในสหรัฐเวลานี้ ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งเกิดภาวะผู้ป่วยล้น ขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากโควิดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อยู่ในเกณฑ์ต่ำ     

 

แผนการยุทธศาสตร์พิชิตโควิด-19 ของปธน.ไบเดนมี 6 ข้อสำคัญ หรือเรียกว่า 6 เสาหลัก นอกเหนือจากการระดมฉีดวัคซีนในหน่วยงานภาครัฐและธุรกิจเอกชน โดยเน้นไปที่ประชาชนกลุ่มที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นเสาหลักแรก  ที่เหลืออีก 5 เสาได้แก่

  • การป้องกันผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วด้วยการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิ หรือวัคซีนเข็มที่สามให้
  • เปิดโรงเรียนให้มีการเรียนการสอนตามปกติ
  • เพิ่มการตรวจหาเชื้อลำหนดให้ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย
  • ปกป้องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
  • ยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ให้ดียิ่งขึ้น

 

มาตรการอื่น ๆ ในการพิชิตโควิด-19 ในสหรัฐภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังประกอบด้วย

  • การขยายขอบเขตการตรวจหาเชื้อโควิดฟรีให้ครอบคลุมประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ หลายโรงเรียนให้เด็ก ๆ กลับเข้าห้องเรียนแล้ว และหลายบริษัทก็ให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ จึงต้องยิ่งเร่งมือตรวจหาเชื้อเพื่อสามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • อาศัยพรบ.การผลิตทางด้านกลาโหมซึ่งเคยใช้ในยามสงคราม พรบ.ดังกล่าวให้บริษัทเอกชนช่วยรัฐผลิตสิ่งของที่จำเป็นภายใต้ภาะฉุกเฉิน เช่นเครื่องตรวจหาเชื้อแบบได้ผลเร็ว (rapid tests) เพื่อที่สามารถจะนำมาแจกจ่ายให้โดยประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ขณะนี้รัฐบาลมีแผนแจกฟรีชุดตรวจ 25 ล้านชุดผ่านทางคลินิกและสำนักงานอนามัยในพื้นที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ ผู้ค้าอย่างแอมะซอน , โครเกอร์ และวอลมาร์ท จะวางจำหน่ายชุดตรวจหาเชื้อที่ทำได้เองที่บ้านในราคาย่อมเยาแก่ประชาชนด้วย   
  • รัฐบาลยังขอให้สถานบันเทิงขนาดใหญ่ เช่น โรงภาพยนตร์ ต้องให้ผู้ชมหรือลูกค้าแสดงหลักฐานก่อนเข้าสถานที่ว่า ตนเองได้รับวัคซีนมากี่เข็มแล้ว หรืออย่างน้อยต้องมีหลักฐานแสดงการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่าเป็นลบ   นอกจากนี้ ผู้โดยสารเครื่องบินที่ปฏิเสธจะไม่สวมใส่แมสก์ขณะเดินทางอยู่บนเครื่องบิน จะต้องถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

 

“ถ้าหากคุณคิดละเมิดกฎ ก็เตรียมเงินสำหรับจ่ายค่าปรับไว้ได้เลย”