นายตัน ซอ ออง ทนายของ แดนนี เฟนสเตอร์ ผู้สื่อข่าวอเมริกันที่ถูกคุมขังในเรือนจำอินเส่งของเมียนมาขณะนี้ กล่าวกับ สำนักข่าววีโอเอ (Voice of America) ว่า ขณะนี้เขายังไม่มีแผนจะยื่นอุทธรณ์ นอกจากนี้ เฟนสเตอร์ยังต้องเจอข้อหาเพิ่มเติมอีกด้วย คือการปลุกปั่นต่อต้านรัฐบาลและการก่อการร้าย ซึ่งอาจจะทำให้เขาต้องถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ทนายความของเฟนสเตอร์เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมลูกความของเขาถึงเจอข้อหาเพิ่มเติม
ด้านเว็บไซต์ข่าว ฟรอนเทียร์ เมียนมา (Frontier Myanmar) เว็บข่าวออนไลน์ที่เฟนสเตอร์ทำงานเป็นบรรณาธิการก่อนที่จะถูกจับตัว ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ (12 พ.ย.) ว่า ทุกคนที่ฟรอนเทียร์รู้สึกผิดหวังและอึดอัดคับข้องใจกับคำตัดสินของศาลเป็นอย่างมาก
วีโอเอรายงานว่า เฟนสเตอร์ถูกจับกุมตัวที่สนามบินนานาชาติย่างกุ้งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่เขากำลังจะขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการบินผ่านประเทศมาเลเซีย
ทนายของเฟนสเตอร์บอกกับวีโอเอว่าตอนที่ถูกจับนั้น ตำรวจเข้าใจว่าเฟนสเตอร์ทำงานให้สื่อ Myanmar Now (เมียนมา นาว) ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อห้าแห่งที่ถูกรัฐบาลทหารเมียนมาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการในเดือนเมษายน
เฟนสเตอร์เคยทำงานที่ Myanmar Now ระหว่างปี พ.ศ. 2562-2563 ก่อนที่จะลาออก ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนก.พ.ปีนี้
ด้านนายเน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า เฟนสเตอร์ควรจะได้รับการปล่อยตัวโดยทันที ทั้งนี้ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐรับทราบว่ามีการตั้งข้อหาเพิ่มเติมต่อเฟนสเตอร์ และการคุมขังผู้สื่อข่าวอเมริกันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นธรรม ขอให้รัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัวเฟนสเตอร์เพราะการทำข่าวของเขา “ไม่ใช่อาชญากรรม” นายไพรซ์กล่าวว่า การช่วยให้เฟนสเตอร์ได้รับการปล่อยตัวเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นของกระทรวง
เมื่อต้นปีนี้ กองทัพเมียนมาได้เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย โดยกล่าวหาอย่างไม่มีหลักฐานว่าการเลือกตั้งที่มีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2563 มีการโกง หลังการรัฐประหาร กองทัพเมียนมาได้จับกุมและคุมขังนางอองซานซูจี รวมทั้งประธานาธิบดี วิน มินท์ พร้อมตั้งข้อหาบุคคลทั้งสอง
การรัฐประหารทำให้ประชาชนชาวเมียนมาจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงบนท้องถนนและดำเนินการ “อารยะขัดขืน” ปฏิเสธที่จะไม่ทำงานภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร แต่กองทัพก็ได้ทำการปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1,252 คน (จากการรายงานของ Assistance Association for Political Prisoners)
ผู้สื่อข่าวและตัวแทนสื่อมวลชนกว่า 100 คนที่ถูกจับกุมในระหว่างที่มีการปราบปรามผู้ชุมนุม (ข้อมูลจาก Reporting ASEAN)
ผู้สื่อข่าวในเมียนมาต่างก็ยอมรับว่า การทำข่าวในประเทศเมียนมานั้นเกือบจะเป็นไปไม่ได้ และเต็มไปด้วยความเสี่ยงสูง นักข่าวฟรีแลนซ์ชาวเมียนมาที่ใช้นามแฝง “เคพ ไดมอนด์” เพื่อปกป้องตัวตนที่แท้จริงของตัวเองให้สัมภาษณ์กับวีโอเอว่า การที่นักข่าวอย่างเฟนสเตอร์ต้องถูกตั้งข้อหานั้นไม่ได้สร้างความตกตะลึงอีกต่อไป
“นักข่าวในเมียนมานั้นได้รับรู้แล้วว่าประเทศของพวกเขาไม่มีเสรีภาพในการรายงานข่าว นักข่าวท้องถิ่นตระหนักดีว่าพวกเขาอาจจะถูกตั้งข้อหาเดียวกันนั้นได้ทุกเวลา”
ด้าน อาย ชาน เนียง ผู้อำนวยการข่าวของ Democratic Voice of Burma ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นที่ถูกห้ามออกอากาศตามคำสั่งของรัฐบาลทหารเมียนมา เปิดเผยว่าการเป็นนักข่าวในเมียนมานั้น “เป็นตั๋วที่จะนำไปสู่การจับกุม” ที่แย่ไปกว่านั้นคือ รัฐบาลทหารมีรายชื่อของเป้าหมายที่พวกเขาต้องการเล่นงาน
“ผู้พิพากษานั้นทำตามคำสั่งของกองทัพ ไม่มีอะไรอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย (ข้อหาที่มีต่อเฟนสเตอร์) นั้นเป็นการทำไปเพื่อขู่ให้นักข่าวท้องถิ่นคนอื่น ๆ หวาดกลัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็ต้องเข้าคุก” อาย ชาน เนียงยังกล่าวด้วยว่าเฟนสเตอร์นั้นไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบใด ๆ เพราะเมียนมาขณะนี้เป็นประเทศที่ไม่มีขื่อไม่มีแป
จอห์น ควินลีย์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านสิทธิมนุษยชนแห่งฟอร์ติฟาย ไรทส์ (Fortify Rights) บอกกับวีโอเอว่าทางกลุ่มได้จับตาดูสถานการณ์ของผู้ที่ถูกจับตัวในเมียนมาตั้งแต่มีการรัฐประหาร และเห็นได้ชัดว่าเฟนสเตอร์ถูกเล่นงาน “อย่างจงใจ” และเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันคนดังกล่าว
ขณะที่นาย มาร์ค ฟาร์มาเนอร์ ผู้อำนวยการของ เบอร์มา แคมเปญ ยูเค (Burma Campaign UK) กล่าวว่าเขาเชื่อว่า การตั้งข้อหาเพิ่มต่อแดนนี เฟนสเตอร์ เป็นสิ่งที่ช่วยเตือนสติว่า รัฐบาลสหรัฐควรจะใช้มาตรการที่แรงขึ้นต่อรัฐบาลทหารเมียนมา เช่น สกัดการหมุนเวียนของเงินและอาวุธที่จะไปสู่กองทัพเมียนมา รวมทั้งตัดรายได้จากการขายก๊าซธรรมชาติของเมียนมาด้วย
ด้านนายออง ทู เนียน นักวิเคราะห์เมียนมา เชื่อว่า เฟนสเตอร์ยังมีโอกาสที่จะได้รับการปล่อยตัว เขามองว่าคำตัดสินให้จำคุกเฟนสเตอร์นั้นเป็นการตัดสินที่มีเหตุจูงใจทางการเมือง แต่ผู้สื่อข่าวอเมริกันยังมีสิทธิได้รับการปล่อยตัว หากทางรัฐบาลทหารเมียนมา สามารถตอบสนองหรือมีข้อแลกเปลี่ยนทางการทูตรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งกับประเทศตะวันตกจนเป็นที่น่าพอใจ
ข้อมูลอ้างอิง