ปลูกพืชคลุมดินช่วยลดก๊าซคาร์บอนได้อย่างไร

08 ก.พ. 2565 | 01:37 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.พ. 2565 | 08:54 น.

แนวโน้มอย่างหนึ่งในแวดวงเกษตรกรรมสหรัฐเมื่อไม่นานมานี้ คือการที่บริษัทที่ทำธุรกิจการเกษตร รวมทั้งเกษตรรายย่อยเริ่มหันมาปลูกพืชคลุมดิน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ​

ในปีที่ผ่านมา แจ็ค แม็คคอร์มิค เกษตรกรในรัฐอิลลินอยส์ปลูกข้าวบาร์เลย์และหัวไชเท้าซึ่งเป็น พืชผลนอกฤดู ที่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเก็บเกี่ยวบนพื้นที่ 350 เอเคอร์ พืชผลเหล่านี้ถูกปลูกเป็น พืชคลุมดิน และจะถูกฆ่าด้วยยากำจัดวัชพืชในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง ก่อนที่แม็คคอร์มิค จะเริ่มปลูกถั่วเหลืองลงบนผืนดินเดียวกัน

 

ทั้งนี้ ข้าวบาร์เลย์และหัวไชเท้าจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นอาหาร แต่บริษัท ไบเออร์ จะจ่ายเงินให้ แม็คคอร์มิค สำหรับการปลูกพืชเหล่านี้ เนื่องจากพืชผลที่เรียกกันว่า “พืชคลุมดินนอกฤดู” ดังกล่าวช่วยให้ผู้ผลิตเมล็ดพืชและสารเคมีอย่างไบเออร์ได้รับ “คาร์บอนเครดิต” จากรัฐบาล

 

วัตถุประสงค์ของการปลูกพืชคลุมดินนั้น คือการฟื้นฟูดิน ลดการกัดเซาะ และดึงคาร์บอนที่ทำให้โลกร้อนออกจากบรรยากาศผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง คาร์บอนที่ติดอยู่ในรากและพืชอื่นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในดิน จะถูกวัดปริมาณคาร์บอนเครดิตที่บริษัทต่างๆ สามารถใช้เพื่อชดเชยการก่อมลภาวะอื่นๆ

ปลูกพืชคลุมดินช่วยลดก๊าซคาร์บอนได้อย่างไร

วิธีการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการเกษตรของสหรัฐ มีการปรับตัวอย่างไรบ้างต่อผลของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้เกษตรกรไม่ได้สร้างรายได้จากการขายพืชผลเพื่อเป็นอาหารและอาหารปศุสัตว์เพียงเท่านั้นอีกต่อไป แต่พวกเขาอาจได้รับ “ค่าตอบแทน” สำหรับการปลูกพืชผลที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย

 

มีเกษตรกรอเมริกันจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่พากันปลูกพืชคลุมดิน อันได้แก่ หญ้าต่างๆ เช่น ข้าวไรย์ ข้าวโอ๊ต ไปจนถึงพืชตระกูลถั่ว และหัวไชเท้า เป็นต้น แม้ว่าพืชผลบางชนิดจะถูกแปลงเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพหรือนำไปเลี้ยงโค แต่ส่วนใหญ่จะไม่ถูกเก็บเกี่ยวเนื่องจากมูลค่าของพวกมันจะสูงกว่า หากเน่าเปื่อยผุพังอยู่ในดิน

 

ทั้งนี้ พืชคลุมดินเป็นเสาหลักของการเกษตรปฏิรูปเพื่อการฟื้นฟูดิน ซึ่งบรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมักมองว่าพืชเหล่านี้มีการพัฒนามากกว่าการเกษตรแบบดั้งเดิม และยังเป็นการเกษตรที่ช่วยฟื้นฟูสภาพของดินและควบคุมการปล่อยมลพิษโดยการหมุนเวียนพืชผล การเลี้ยงปศุสัตว์ การลดการใช้สารเคมี และอื่นๆ อีกมากมาย

ปลูกพืชคลุมดินช่วยลดก๊าซคาร์บอนได้อย่างไร

ร็อบ ไมเยอร์ส ผู้อำนวยการศูนย์เกษตรปฏิรูปแห่งมหาวิทยาลัยแห่งมิสซูรี ประเมินว่า มีการปลูกพืชคลุมดินถึง 22 ล้านเอเคอร์ในปีที่ผ่านมา (2564) ซึ่งหากเปรียบเทียบกับข้อมูลล่าสุดของกระทรวงการเกษตรสหรัฐ (USDA) แล้วจะพบว่า เป็นการเพิ่มขึ้นถึง 43% จาก 15.4 ล้านเอเคอร์ในปี 2560

 

การปลูกพืชคลุมดินมีประโยชน์หลายอย่าง แต่การปลูกแล้วได้รับเงินค่าคาร์บอน นับเป็นแรงจูงใจใหม่ล่าสุดที่ทำให้เกษตรกรกันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพของดินกันมากขึ้น และเขาคาดการณ์ว่า ภายในปลายทศวรรษนี้จะมีการปลูกพืชคลุมดินในสหรัฐอเมริกาปีละ 40-50 ล้านเอเคอร์เลยทีเดียว

ปลูกพืชคลุมดินช่วยลดก๊าซคาร์บอนได้อย่างไร

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ รวมถึง ไบเออร์ (Bayer) แลนด์ โอ เลคส์ (Land O'Lakes) และคาร์กิลล์ (Cargill Inc) ได้เปิดตัวโครงการเกษตรกรรมคาร์บอน ที่จ่ายเงินให้เกษตรกรให้ช่วยดักจับคาร์บอนโดยการปลูกพืชคลุมดินและลดการไถพรวนในดิน

 

รายงานข่าวระบุว่า ทรูแทร์รา (Truterra) บริษัทในเครือ แลนด์ โอ เลคส์ จ่ายเงินจำนวน 4 ล้านดอลลาร์ให้กับเกษตรกรอเมริกันที่ลงทะเบียนในโครงการคาร์บอนของบริษัทในปีที่ผ่านมา (2564) เพื่อการดักจับคาร์บอนในดินในปริมาณ 200,000 เมตริกตัน

 

ขณะเดียวกัน ก็มีโครงการอื่นๆ ที่ขยายตัวจากโครงการนำร่องเล็กๆ ซึ่งรวมถึงกรณีของบริษัท คาร์กิลล์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มโครงการเกษตรกรรมแบบยั่งยืนที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็น 10 ล้านเอเคอร์ภายในสิ้นทศวรรษนี้ นับเป็นการเพิ่มขึ้นจากขนาดปัจจุบันที่ประมาณ 360,000 เอเคอร์ ส่วนบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืช คอร์ทีวา (Corteva Inc) สั่งเพิ่มขนาดโครงการการดักจับคาร์บอนในสหรัฐ จาก 3 รัฐ เพิ่มเป็น 11 รัฐสำหรับปีนี้

 

อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้มีผู้แสดงความเป็นห่วงอยู่เช่นกัน เจสัน เวลเลอร์ ประธานบริษัท ทรูแทร์รา กล่าวระหว่างการเข้าร่วมการประชุมของสมาคมผู้ค้าเมล็ดพันธุ์พืชอเมริกัน (American Seed Trade Association) เมื่อปลายปีที่แล้วว่า เทรนด์การปลูกพืชคลุมดินเช่นนี้อาจนำมาซึ่งสภาพการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์พืชได้ ขณะที่ ผู้ที่วิจารณ์แนวทางปฏิบัตินี้มองว่า กระแสการทำการเกษตรดังกล่าวอาจทำให้มีการใช้สารเคมีในฟาร์มเพิ่มขึ้นด้วย

 

แต่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเชื่อว่า การปลูกพืชคลุมดินเป็นการยกระดับการทำการเกษตรแบบเดิมๆ ที่มักปล่อยให้พื้นที่เพาะปลูกว่างเปล่านานถึงครึ่งปี และปล่อยให้โอกาสปลูกพืชที่ดักจับก๊าซคาร์บอนหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย

 

ข้อมูลอ้างอิง

Off-season 'cover' crops expand as U.S. growers eye low-carbon future