ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน กล่าววานนี้ (8 มี.ค.) ว่า จีน พร้อมที่จะมีบทบาทอย่างมากในการแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ตามที่ทุกฝ่ายมองว่ามีความจำเป็น
ทั้งนี้ ปธน.สี จิ้นผิง มีถ้อยแถลงดังกล่าวในการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับนายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
ผู้นำจีนยังกล่าวด้วยว่า ทั้งจีน ฝรั่งเศส และเยอรมนี ควรร่วมมือกันสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน นอกจากนี้ เขายังได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในยูเครนในเวลานี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นอย่างที่สุด และป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้จนควบคุมไม่ได้
ในโอกาสเดียวกันนี้ ปธน.สี จิ้นผิง ยังได้แสดงท่าที "คัดค้าน" การที่สหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้การส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน โดยก่อนหน้านี้ จีนได้ “ปฎิเสธ” ที่จะเข้าร่วมการคว่ำบาตรรัสเซียตามสหรัฐและชาติตะวันตก และยังได้ “งดออกเสียง” ต่อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในการประณามการที่รัสเซียส่งกำลังทหารเข้าโจมตียูเครน
นายสตีเฟน โรช นักเศรษฐศาสตร์ของวาณิชธนกิจ มอร์แกน สแตนลีย์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับบทบาทของจีนในวิกฤตยูเครนว่า ขณะนี้มีบุคคลเดียวในโลกที่จะสามารถโน้มน้าวประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในการคลี่คลายวิกฤตการณ์ในยูเครน ซึ่งก็คือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนนั่นเอง
"ผมคิดว่ามีบุคคลเดียวในโลกที่จะสามารถมีอิทธิพลต่อปธน.ปูติน นั่นก็คือประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน ซึ่งเขาควรจะฉวยโอกาสนี้ สิ่งดีที่สุดที่จีนสามารถทำได้ในขณะนี้คือการเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างรัสเซียและยูเครน" นายโรชกล่าวขณะให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CNBC สื่อใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้เขาเห็นว่า ถ้าหากจีนยังคงกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียโดยไม่สนใจเสียงของประชาคมโลกที่กำลังกดดันรัสเซีย ก็จะเป็นการดำเนินการที่ผิดพลาด เพราะท่าทีเช่นนั้นจะทำให้จีนถูกตราหน้าว่ามีความผิดร่วมกับรัสเซียไปด้วย
"ปธน.สี จิ้นผิงจะนิ่งเฉยอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะเรื่องนี้จะสร้างจุดด่างพร้อยต่อประวัติของเขา" นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าว
ล่าสุดวานนี้ (8 มี.ค.) นางจีนา เรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส ว่า บริษัทจีน ที่ท้าทายมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐที่บังคับใช้กับรัสเซียนั้น อาจถูกแบนไม่ให้เข้าถึงอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ของสหรัฐที่บริษัทจีนจำเป็นต้องใช้ในการผลิตภัณฑ์สินค้า
ทั้งนี้ สหรัฐอาจปิดกั้น บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง อินเตอร์เนชันแนล คอร์ป (SMIC) หรือบริษัทจีนรายอื่น ๆ ที่ท้าทายมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ ด้วยการเดินหน้าจัดหาชิปและเทคโนโลยีล้ำสมัยประเภทอื่น ๆ ให้กับรัสเซียต่อไป โดยสหรัฐขู่จะขึ้นบัญชีดำทางการค้ากับบริษัทเหล่านี้ โทษฐานช่วยรัสเซียหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ของสหรัฐ
นางเรมอนโดกล่าวทิ้งท้ายว่า หากสหรัฐตรวจพบว่ามีบริษัทใดของจีน เช่น SMIC ขายชิปให้กับรัสเซีย สหรัฐไม่รีรอที่จะปิดกั้นบริษัทดังกล่าว เหตุผลก็เพราะต้องการยับยั้งรัสเซียจากการใช้อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่เป็นเทคโนโลยีของสหรัฐนั่นเอง