"เงินเฟ้อ" สปป.ลาว พุ่งขึ้นเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนเป็นรองเมียนมาร์ ส่งผลให้ประชาชนใน สปป.ลาว เกิดความกังวลเรื่องการครองชีพมากขึ้น ซึ่งอัตราเงินเฟ้อแบบเทียบปีต่อปีของ สปป. ลาว เพิ่มขึ้นจาก 5.04% ในเดือนพฤศจิกายนเป็น 5.27% ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นตัวเลขสูงสุดที่เคยถูกบันทึกมานับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อในอาเซียนอันดับหนึ่งยังคงเป็นเมียนมาร์ ที่มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 6.51% ,สปป. ลาวขยับขึ้นอยู่ที่5.27% ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 4% ,กัมพูชา 3.8% ,มาเลเซีย3.2% ,ไทย 2.17% ,อินโดนีเซีย1.87% , เวียดนาม 1.81% และบรูไน 1.8%
ตามรายงาน World Economic Outlook ของ IMF ระบุว่าราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นและการหยุดชะงักของอุปทานทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อสูงและกระจายไปในวงกว้างกว่าคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ตลาดเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ
ในขณะที่ราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลก็เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในปีที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้นและก่อให้เกิดอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นโดยเฉพาะในยุโรป ส่วนในตลาดซื้อขายล่วงหน้าระบุว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นประมาณ 12% และราคาก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 58% ในปี 2565
โดยมีการขึ้นราคาน้ำมันครั้งที่ 3 ในเดือนมกราคม ผู้ขับขี่ยานพาหนะในนครหลวงเวียงจันทน์จะต้องจ่ายค่าน้ำมันเกรดพรีเมียมในราคา 15,370 กีบต่อลิตร (ประมาณ 44.51 บาท) ราคาน้ำมันธรรมดาอยู่ที่ 13,610 กีบต่อลิตร (38.89 บาท) และราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 11,950 กีบต่อลิตร (34.15 บาท) ซึ่งในเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นถึง 38.7% แบบเทียบปีต่อปี ทำให้ต้นทุนในหมวดการสื่อสารและคมนาคมเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับต้นทุนการผลิตและราคาอาหารก็เพิ่มสูงขึ้น
ขณะเดียวกันธุรกิจด้านเชื้อเพลิงก็ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันเช่นเดียวกัน โดยรัฐบาลลาวได้อนุญาตให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการนำเข้าเชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซที่เป็นอันตราย และตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนของประเทศเป็น 1% ภายในปี 2568 และมากกว่า 30% ภายในปี 2573