สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า โกลด์แมน แซคส์ เป็นสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่รายแรกของสหรัฐอเมริกาที่เปิดให้บริการปล่อย เงินกู้ที่สามารถใช้เงินดิจิทัล “บิตคอยน์” เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน นับเป็นก้าวสำคัญของแวดวงการเงินที่จะช่วยเร่งให้ตลาดวอลล์สตรีทและโลกการเงินยอมรับ สกุลเงินดิจิทัล มากขึ้น ทั้งนี้ โกลด์แมนฯ คาดว่าธนาคารอื่นๆ ก็กำลังมีแผนจะเปิดบริการแบบนี้ตามมาเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ มีข่าวออกมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วว่า โกลด์แมนฯ และสถาบันการเงินชั้นนำรายอื่น ๆในวอลล์สตรีท กำลังพิจารณาอย่างจริงจังถึงวิธีการใช้บิตคอยน์ (BTC) เป็นหลักประกันในการให้สินเชื่อเงินสดแก่บริษัทต่าง ๆ สืบเนื่องจากการที่ราคาของ BTC ได้ขยับเพิ่มขึ้นมากกว่า 190% ตั้งแต่ปี 2562
ถึงแม้จะมีอุปสรรคทางด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับ BTC และสกุลเงินคริปโตฯอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา สถาบันการเงินชั้นนำในประเทศรายงานว่า พวกเขากำลังสำรวจวิธีที่จะรวมคริปโตเข้ากับการดำเนินงานของพวกเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของโลก และเป็นผู้ให้กู้ชั้นนำในสหรัฐเปิดเผยว่า ธนาคารกำลังพยายามอย่างจริงจังที่จะหาวิธีใช้บิตคอยน์เป็นหลักประกันในการให้สินเชื่อเงินสดแก่สถาบันต่างๆ
ในปีที่ผ่านมา (2564) โกลด์แมน แซคส์ เคยออกรายงานเกี่ยวกับเงินคริปโต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตลาดคริปโตฯ โดยรายงานดังกล่าวมีชื่อว่า Crypto, a new asset class ซึ่งส่วนหนึ่งของเนื้อหาระบุถึงธรรมชาติของเงินคริปโต ในฐานะหนึ่งในสินทรัพย์ลงทุน (Asset Class) โดยการรวบรวมความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล อาทิ นายไมเคิล โนโกราตส์ ซีอีโอบริษัท Galaxy Digital ที่มองว่า การที่บริษัทใหญ่ๆ ใส่เงินลงทุนเข้ามาในตลาดคริปโตฯ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ความน่าสนใจของเงินคริปโตฯ และเสถียรภาพของตลาดนี้ เขายังระบุว่า บิตคอยน์มีความสามารถในการเก็บรักษามูลค่าโดยธรรมชาติของตัวมันเอง เพราะว่าคนส่วนใหญ่เชื่อในบิตคอยน์
ขณะที่นายมิคาเอล โซนเนสไฮม์ ซีอีโอของ Grayscale Investments มองไปในทิศทางเดียวกันว่า จำนวนบิตคอยน์ที่มีจำกัดจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของสกุลเงินต่าง ๆ และถึงแม้เงินคริปโตฯ จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 แต่การฟื้นตัวของคริปโตฯ ก็โดดเด่นกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของบิตคอยน์และเหรียญดิจิทัลอื่นๆ ในฐานะสินทรัพย์ลงทุน
โดยภาพรวมแล้ว รายงานฉบับดังกล่าวของโกลด์แมน แซคส์ สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปต่อบิตคอยน์ หลังจากที่ครั้งหนึ่งในอดีต โกลด์แมน แซคส์ เคยมีมุมมองว่า บรรดาเงินคริปโตฯ รวมถึงบิตคอยน์ไม่ถือเป็นสินทรัพย์ลงทุน เพราะว่าเหรียญต่างๆ ไม่ได้ให้กระแสเงินสด และไม่ได้ให้ผลตอบแทนใดๆ จากการที่เศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น แต่หลังจากวันที่โกลด์แมนฯ ให้คำแนะนำลูกค้าของพวกเขาไปเช่นนั้น ราคาของบิตคอยน์ก็ได้พุ่งขึ้นมาเกือบ 600% และดูเหมือนว่าตอนนี้ ธนาคารยักษ์ใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบิตคอยน์ไปแล้วโดยสิ้นเชิง
นอกจากจะมีการตั้งทีมงานดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว โกลด์แมน แซคส์ ยังเป็นธนาคารรายใหญ่แห่งแรกของสหรัฐที่ทำการซื้อขายเงินคริปโตฯ นอกตลาด (Over-The-Counter หรือ OTC) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยโกลด์แมนฯได้ทำการซื้อขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ที่เรียกว่า “Non-Deliverable Option” กับกาแล็กซี ดิจิทัลซึ่งเป็นธนาคารที่ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี
เดเมียน แวนเดอร์วิลท์ ประธานกาแล็กซี ดิจิทัลกล่าวว่า ความคืบหน้าดังกล่าวนับเป็นย่างก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดคริปโตฯ สำหรับนักลงทุนสถาบัน โดยการที่โกลด์แมน แซคซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดคริปโตฯ ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้น
นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า บิตคอยน์จะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดจากทองคำต่อไปได้ เนื่องจากนักลงทุนหันมาให้ความสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้กระแสคาดการณ์ที่ว่า ราคาบิตคอยน์จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์นั้น จะเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต
นอกจากโกลด์แมน แซคส์ แล้ว ธนาคารรายอื่นในสหรัฐที่ให้บริการปล่อยเงินกู้โดยลูกค้าสามารถใช้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันยังได้แก่ ซิลเวอร์เกต แคปปิตอล เป็นต้น