20 มิ.ย.2565 เพจทางการหนังสือพิมพ์ลาวพัฒนา (Laophattana News) รายงานว่า สภาแห่งชาติ สปป.ลาว ได้ให้การรับรองการ ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามคำเสนอของท่านพันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงหลายตำแหน่ง ดังนี้คือ แต่งตั้ง พล.อ.วิไล หล้าคำฟอง เป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ และท่านสะเหลิมไซ กมมะสิด เป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีต่างประเทศ พร้อมทั้งแต่งตั้งท่านเวียงทะวิสอน เทบพะจัน รองเจ้าแขวงสะหวันนะเขต ขึ้นเป็นประธานองค์การตรวจสอบแห่งรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีการโยกย้ายท่านสมแพง ไซสมแพง จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโยก ท่านสอนไซ สิดพะไซ จาก ผู้ว่าการธนาคารแห่งสปป.ลาว ไปเป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
จากนั้นแต่งตั้งท่านมะไลทอง กมมะสิด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า และ ท่านบุนเหลือ สินไซวอละวง เป็น ผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว คนใหม่
ทั้งนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสปป.ลาว กำลังเป็นที่จับตามองหลังประสบภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง ท่ามกลางสกุลเงินกีบที่อ่อนค่าลงอย่างหนัก และยังเกิดการขาดแคลนน้ำมันทั่วประเทศ
แบงก์ชาติ หรือ ธนาคารแห่งสปป.ลาว ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมของสปป.ลาว พุ่งแตะระดับ 12.8% สูงสุดในรอบ 15 ปี และติดอันดับประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ขณะที่เงินกีบอ่อนค่าลงอย่างมาก โดยตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2564 เงินกีบเคยอยู่ที่ประมาณ 9,400 กีบต่อ 1 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบัน ณ 12 มิถุนายน 2565 เงินกีบอ่อนค่าลงไปที่ 14,400 กีบต่อ 1 ดอลลาร์หรืออ่อนค่าลงกว่า 50%
หากเทียบกับเงินบาท ณ วันที่ 9 มิ.ย. 65 อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 415 กีบ ต่อ 1 บาท หลังจากที่เคยอ่อนค่าหนักสุดเกือบถึง 500 กีบต่อ 1 บาทในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา และอ่อนค่าลงเกือบ ๆ 50% จากระดับเมื่อเดือนเม.ย.ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเงินกีบอยู่ที่ 350 กีบต่อ 1 บาท
ปัจจัยที่ทำให้สกุลเงินกีบอ่อนค่า หลักๆ มาจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ หลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ล่าสุดเดือนพฤษภาคม 2565 เงินเฟ้อสหรัฐพุ่งแตะ 8.6% สูงสุดในรอบเกือบ 41 ปี
นอกจากนี้ สปป.ลาวยังมีหนี้สาธารณะถึง 13,347 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 71% ของจีดีพี โดยเป็นหนี้ต่างประเทศกว่า 12,435 ล้านดอลลาร์ และหนี้ในประเทศอีกกว่า 912 ล้านดอลลาร์ ดังนั้น เมื่อดอกเบี้ยขยับอัตราสูงขึ้นประกอบกับเงินกีบอ่อนค่าลง ทำให้ สปป.ลาว มีภาระหนี้พุ่งสูงขึ้น ขณะที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 1,262 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำจนน่ากังวล เนื่องจากสามารถรองรับการนำเข้าสินค้าได้เพียง 2.9 เดือนเท่านั้น ต่ำกว่าเกณฑ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่กำหนดให้ประเทศรายได้ต่ำ ควรมีอัตราทุนสำรองระหว่างประเทศครอบคลุมการนำเข้าได้ 4-6 เดือน และยังมีหนี้ที่กำหนดชำระหนี้ราว 1,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด