ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เดินทางออกจากจีนแผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรกหลังจากอยู่แต่ในประเทศนานถึง 893 วัน หรือราว ๆ 2 ปีกับอีก 5 เดือน แม้ว่าเขายังคงส่งเสริมนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid) ซึ่งเป็นนโยบายที่ทำให้จีนถูกโดดเดี่ยวทางการทูตท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางเยือนฮ่องกงครั้งประวัติศาสตร์เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 25 ปีที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับจีน ซึ่งเป็นการเดินทางออกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรกของเขานับตั้งแต่ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19
ประธานาธิบดีสี พร้อมด้วยนางเผิง ลี่หยวน ภริยา เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงถึงฮ่องกงบ่ายวันนี้ (30 มิ.ย.) โดยมีแคร์รี แลม ผู้นำฮ่องกงที่กำลังจะพ้นตำแหน่งพร้อมด้วยสามี และนายจอห์น ลี ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของฮ่องกงให้การต้อนรับที่สถานีรถไฟ ครั้งนี้เป็นการเยือนฮ่องกงครั้งแรกของเขานับจากปี 2560 และฮ่องกงเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ท้องถนนทั่วเมืองได้รับการตกแต่งด้วยธงจีน และโปสเตอร์ประกาศ “ศักราชใหม่” แห่งเสถียรภาพ
ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ฮ่องกงเผชิญบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า สามารถพิชิตทั้งความเสี่ยงและความท้าทายที่เข้ามาแต่ละครั้ง และหลังเผชิญทั้งลมและฝน ฮ่องกงก็ฟื้นคืนชีวิตจากเถ้าถ่านได้อย่างแข็งแกร่ง”
นอกจากนี้ ผู้นำจีนยังกล่าวด้วยว่า ตราบเท่าที่ยังยึดมั่นในนโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ฮ่องกงจะมีอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น เนื่องจากหลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” เป็นนโยบายที่เหมาะสม ช่วยสร้างเสถียรภาพและความรุ่งเรืองระยะยาวในฮ่องกง และปกป้องความเป็นอยู่ที่ดีแก่ชาวฮ่องกง
ส่วนกำหนดการของผู้นำจีนในวันศุกร์นี้ (1 ก.ค.) ปธน.สี จิ้นผิง จะไปร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของจอห์น ลี ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงคนใหม่ด้วย
ในอดีตเคยมีผู้ประท้วงหลายหมื่นคนเดินขบวนในช่วงที่ปธน.สี จิ้นผิง เยือนฮ่องกงเมื่อ 5 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าเหตุการณ์จะแตกต่างออกไป โดยจะไม่มีการประท้วงในปีนี้ เนื่องจากแกนนำเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยคนสำคัญส่วนใหญ่ถูกจำคุกหรือหนีไปต่างประเทศแล้ว และจีนได้บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกงอย่างเข้มงวด มีการกำหนดโทษสถานหนักถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาล้มล้างอำนาจ
ออกนอกแผ่นดินใหญ่ครั้งแรกเป็นสัญญาณที่ดี
ข่าวระบุว่า ปธน.สีได้ยุติการเดินทางระหว่างประเทศทั้งหมดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยการเดินทางออกนอกประเทศครั้งหลังสุดของเขาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2563 โดยปธน.สีเดินทางไปเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการ และเป็นการเดินทางที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนจีนจะสั่งปิดเมืองอู่ฮั่น (ซึ่งเป็นเมืองต้นทางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศจีน)
นับตั้งแต่นั้นมา ปธน.สีได้ยึดมั่นในนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยข้อกำจัดที่เข้มงวดด้านการเดินทางและการปิดพรมแดน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ได้เปิดประเทศกันไปแล้วเป็นส่วนใหญ่
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐก็ได้เสื่อมถอยลงในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด โดยเกิดความขัดแย้งกันในด้านต่าง ๆ อาทิ การนำเข้าผลิตภัณฑ์ไฮเทค เช่น ชิป, เสรีภาพทางการเมืองในฮ่องกง และข้อกล่าวหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในซินเจียง
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ของจีนกับออสเตรเลียก็ยังย่ำแย่ หลังออสเตรเลียเรียกร้องให้จีนสอบสวนที่มาของโรคโควิด-19 ตลอดจนแรงกดดันทางทหารที่เพิ่มขึ้นของจีนต่อไต้หวัน ซึ่งได้เพิ่มอุณหภูมิความตึงเครียดในภูมิภาค
นายตงซู่ หลิว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาคการเมืองจีนประจำมหาวิทยาลัยซิตี ในฮ่องกง เปิดเผยว่า การที่ปธน.สี จิ้นผิง จำกัดตัวเองอยู่แต่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ได้ส่งผลกระทบต่ออิทธิพลระหว่างประเทศของตัวเขาเอง แม้ว่าเขาจะพยายามบรรเทาผลกระทบดังกล่าวด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทางออนไลน์ก็ตาม