คณะผู้แทนสภาคองเกรส ของ สหรัฐ อีกคณะ เดินทางเยือน ไต้หวัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ส.ค.) หรือแค่เพียง 12 วันหลังจากที่ นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร เสร็จสิ้นการเยือนกรุงไทเปเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ซึ่งการเยือนครั้งนั้นได้สร้างความเกรี้ยวกราดให้รัฐบาลจีนมากพออยู่แล้วและทำให้เกิดการซ้อมรบของกองทัพจีน จำลองสถานการณ์ปิดล้อมเกาะไต้หวันตามมาติดต่อกันหลายวัน จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ยุติการซ้อมรบ
แต่ไฟความขัดแย้งใน ช่องแคบไต้หวัน ยังไม่ทันมอด คณะสมาชิกสภาฯ ชุดใหม่ของสหรัฐก็กลับมาโหมกระพือให้การเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐและไต้หวัน ต้องลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเผยแพร่คลิปภาพของสถานีโทรทัศน์ไต้หวัน แสดงภาพเครื่องบินของรัฐบาลสหรัฐขณะลงจอดที่สนามบินไทเปซงซาน เมื่อเวลา 19.00 นาฬิกาของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น
ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐนั้น สภาคองเกรสเป็นอีกหนึ่งอำนาจอธิปไตยที่เท่าเทียมกับรัฐบาล สมาชิกสภาสามารถเดินทางไปไหนตามที่ต้องการ และไต้หวันก็ยินดีที่ได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรสอย่างไม่แบ่งพรรค
ถึงแม้สหรัฐได้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตจากไทเปมาหาปักกิ่งในปี 2522 แต่สหรัฐก็ยังคงเป็นพันธมิตรสำคัญของไต้หวันและรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตแบบพฤตินัยเอาไว้ นโยบายทางการของวอชิงตันนั้น คัดค้านทั้งการประกาศเอกราชของไต้หวัน และการที่จีนใช้กำลังบังคับเปลี่ยนสถานภาพเดิมของเกาะไต้หวัน
สำหรับการเยือนครั้งล่าสุดนี้ คณะผู้แทนจากคองเกรสสหรัฐนำทีมโดย วุฒิสมาชิก เอ็ด มาร์คีย์ สมาชิกพรรคเดโมแครตจากรัฐแมสซาชูเซตส์ ร่วมด้วย ส.ส.พรรคเดโมแครตอีก 3 คนและ ส.ส.จากพรรครีพับลิกัน 1 คน ทั้งคณะมีกำหนดเข้าพบประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวิน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกรุงไทเป รวมทั้งตัวแทนจากภาคธุรกิจในวันจันทร์ (15 ส.ค.) เพื่อ หารือประเด็นผลประโยชน์ร่วมกัน ครอบคลุมถึงการหนทางลดความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน และการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ร่วมกัน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สถานทูตทางพฤตินัยของสหรัฐประจำกรุงไทเป ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการเดินทางมาครั้งนี้ระบุ การเดินทางเยือนไต้หวัน ของ ส.ว.มาร์คียและคณะ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเยือนหลายประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า
“ในช่วงที่จีนยกระดับความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันและภูมิภาคใกล้เคียงด้วยการเดินหน้าซ้อมรบนั้น การเยือนไต้หวันของคณะที่นำโดยส.ว.มาร์คีย์ เป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งถึงการสนับสนุนอย่างหนักแน่นของสภาคองเกรสสหรัฐมีต่อรัฐบาลไต้หวัน”
ทั้งนี้ รัฐบาลไต้หวันได้เผยแพร่แถลงการณ์ฉบับหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แสดงความซาบซึ้งใจต่อความสนับสนุนจากสหรัฐที่ดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงให้กับช่องแคบไต้หวัน และทั่วทั้งภูมิภาค ขณะเดียวกัน ก็ไม่วายวิจารณ์จีนว่า “ใช้วิธีการข่มขู่คุกคามทางทหารและทางเศรษฐกิจอย่างไร้เหตุผล”
“การดำเนินการดังกล่าวของจีน มีแต่จะยิ่งเพิ่มความสามัคคีและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้กับฝ่ายประชาธิปไตย” แถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันระบุ
ด้านสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันได้ออกมาตอบโต้แทบจะในทันทีเมื่อวันอาทิตย์ว่า สมาชิกของสภาคองเกรสสหรัฐ ควรปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับ ‘นโยบายจีนเดียว’ ที่รัฐบาสหรัฐประกาศยึดถือ จีนถือว่า การเดินทางของคณะผู้แทนสภาคองเกรสครั้งนี้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า สหรัฐไม่ต้องการจะเห็นเสถียรภาพ-สันติภาพในช่องแคบไต้หวัน และไม่ยอมลดละที่จะก่อกวนเพื่อให้มีการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศจีนด้วย เพราะจีนถือว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนตลอดมา
สหรัฐตระเวนเยือนพันธมิตร ไต้หวันชี้ภัยคุกคามจากจีนยังคงอยู่
การเดินทางเยือนไต้หวันของ นางเพโลซี ซึ่งถือเป็นนักการเมืองระดับสูงสุดของสหรัฐคนแรกในรอบ 25 ปี ที่เยือนไต้หวัน เมื่อเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้จีนตัดสินใจเปิดปฏิบัติการซ้อมรบครั้งใหญ่ โดยส่งทั้งขีปนาวุธกระสุนจริง เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปฝึกซ้อมทั้งในน่านน้ำและน่านฟ้ารอบเกาะไต้หวันเป็นเวลาหลายวัน โดยมีการประกาศขยายเวลาการซ้อมรบจากเดิมกำหนดสิ้นสุดวันที่ 7 ส.ค. ไปเป็นเดือน ก.ย. ล่าสุดกระทรวงกลาโหมไต้หวันได้ทวีตข้อความออกมาเมื่อวันอาทิตย์ (14 ส.ค.) ระบุว่า ยังมีเครื่องบินรบของจีนจำนวน 10 ลำ จากทั้งหมด 22 ลำ และเรือรบอีก 6 ลำที่ปรากฏตัวในพื้นที่รอบ ๆ ไต้หวัน วานนี้เมื่อเวลา 17.00 น.
สื่อระบุว่า ก่อนที่คณะผู้แทนสภาคองเกรสชุดล่าสุดจะมาถึงไต้หวัน ทั้งหมดเพิ่งเสร็จสิ้นการเยือนเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอีกประเทศพันธมิตรของสหรัฐในเอเชีย โดย ส.ว.มาร์คีย์ ได้เข้าพบประธานาธิบดียูน ซุก-ยอล แห่งเกาหลีใต้ด้วย
ข่มขู่มาก็ยั่วกลับไป ไต้หวันซ้อมรบเช่นกัน
ด้าน ประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวิน แห่งไต้หวัน เปิดเผยว่า ภัยคุกคามจากจีนยังไม่ได้ลดน้อยลงเลย แม้ว่าการซ้อมรบของกองทัพจีนรอบ ๆ เกาะไต้หวันจะสิ้นสุดไปแล้วเป็นบางส่วน
ผู้นำไต้หวันกล่าวถึงเรื่องนี้ในวันพฤหัสบดี (11 ส.ค.) หลังจากที่ทางการจีนประกาศ 1 วันก่อนหน้าว่า จะเดินหน้าส่งทีมลาดตระเวนรอบ ๆ ไต้หวันต่อไปแม้กองทัพจีนจะเสร็จสิ้นภารกิจซ้อมรบหลายส่วนไปแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นเหมือนการส่งสัญญาณว่า เกมสงครามที่ปะทุขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ก่อนอาจจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ปักกิ่งก็จะยังทำการกดดันไต้หวันต่อไปเรื่อยๆ
แต่ไต้หวันเองก็ไม่ได้เป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว รัฐบาลไทเปได้ทำการซ้อมรบประจำปีแบบย่อย ๆ ในช่วงเวลานี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการรุกรานและเพื่อเป็นการตอบโต้จีนด้วย
แถลงการณ์จากทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันระบุว่า ปธน.ไช่ อิง-เหวิน ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศว่า "ในเวลานี้ ภัยคุกคามจากทัพจีนยังไม่มีท่าทีลดลงแต่อย่างใด ฝ่ายไต้หวันจะพยายามไม่ยกระดับความขัดแย้งนี้หรือทำการยั่วยุให้เกิดข้อพิพาท แต่ไต้หวันจะขอปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงแห่งชาติของตัวเองอย่างแข็งขัน และจะยึดมั่นตามแนวทางป้องกันประชาธิปไตยและเสรีภาพต่อไป"
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับปธน.ไต้หวัน เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เรือรบจีนจำนวนหนึ่งที่เคยลอยลำอยู่ใกล้เส้นแบ่งเขตทางทะเลในช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นเสมือนเส้นแบ่งเขตแดนแบบไม่เป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่าย มีจำนวนลดลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็เห็นได้ชัดว่า เรือของกองทัพจีนหลายลำยังคงเดินหน้าทำภารกิจในพื้นที่ทางตะวันออกนอกชายฝั่งไต้หวันและใกล้กับเกาะโยนากุนิของญี่ปุ่นเมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา
นอกจากนั้น กระทรวงกลาโหมไต้หวันยังระบุในแถลงการณ์ว่า พบเครื่องบินทหารของจีน 21 ลำ และเรือของกองทัพจีน 6 ลำ ทั้งในและรอบ ๆ ช่องแคบไต้หวัน โดยมีเครื่องบิน 11 ลำที่บินข้ามเส้นแบ่งเขตทางทะเลด้วย ซึ่งจะถือเป็นการข่มขู่หรือการยั่วยุก็ย่อมได้
อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวลดลงจากการรายงานครั้งก่อนที่ระบุว่า พบเครื่องบินทหารของจีน 36 ลำ และเรือกองทัพจีน 10 ลำในบริเวณดังกล่าว โดยมีเครื่องบิน 17 ลำบินข้ามเส้นแบ่งเขตเข้ามาใกล้ไต้หวัน
“ด้วยการยั่วยุทางทหารของจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ กองกำลังติดอาวุธแห่งชาติของไต้หวันได้เตรียมพร้อมยืนหยัดอยู่ที่แนวหน้าแล้ว และหน้าที่ของกองทัพไต้หวันนั้น มีแต่จะยากลำบากมากขึ้นและแรงกดดันก็มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย” ปธน.ไช่ อิง-เหวินกล่าว
แน่นอนว่า ทั้งการยั่วยุและหาแนวร่วมสนับสนุนกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายไต้หวัน สหรัฐ หรือจีน เมื่อเกิดขึ้นครั้งใด ก็ทำให้อุณหภูมิความขัดแย้งร้อนระอุมากขึ้น โดยฝั่งไต้หวันยืนยันที่จะปฏิเสธข้อเสนอ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ของรัฐบาลปักกิ่งต่อไป โดยมีสหรัฐให้การสนับสนุนในเชิงปฏิบัติ ขณะที่นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมากล่าวเป็นการยืนยันจุดยืนของจีนว่า “การรวมชาติ”ระหว่างจีนและไต้หวัน เป็นเรื่องจะต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน กองบัญชาการฝ่ายตะวันออกของกองทัพจีน หรือ ในชื่อเต็มว่า "กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน" (PLA) ไม่ปล่อยให้ถูกยั่วยุนาน ล่าสุดวันนี้ (15 ส.ค.) ออกมาเปิดเผยว่า จีนจะเปิดปฏิบัติการซ้อมรบใกล้เกาะไต้หวันรอบใหม่อีกครั้งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วัตถุประสงค์เพื่อ "ป้องปรามสหรัฐและไต้หวัน" ที่ใช้เล่ห์เลี่ยมทางการเมืองกับจีนไม่ยอมหยุด ซึ่งเป็นการบั่นทอนสันติภาพและเสถียรภาพบนช่องแคบไต้หวันอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐทวีความรุนแรงมากขึ้น และจนถึงขณะนี้ ก็ยังมองไม่เห็นว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายลงได้อย่างไร