ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นของจีนในปี 2562 โดยเมื่อวันที่ 14 ก.ย. เขาเดินทางเยือน คาซัคสถาน และได้เข้าพบประธานาธิบดีกัสซิม โจมาร์ท โตคาเยฟ ผู้นำคาซัคสถาน มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นพลังงานและการค้า ก่อนจะออกเดินทางมายัง อุซเบกิสถาน ในช่วงค่ำ เพื่อร่วมประชุม 1เวทีใหญ่และพบปะกับ ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
ที่เมืองซามาร์คานต์ ประเทศอุซเบกิสถาน ซึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองสำคัญบนเส้นทางสายไหมอันรุ่งเรืองด้านการค้าของจีน ปธน.สีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai Cooperation Organization ในวันนี้ (15 ก.ย.) จากนั้นมีกำหนดพบปะกับปธน.ปูติน นอกรอบการประชุมดังกล่าว ซึ่งผู้นำทั้งสองจะหารือกันเกี่ยวกับประเด็นยูเครนและไต้หวัน รวมทั้งประเด็นอื่นๆในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกนี้ เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจเป็นพิเศษของปธน.สี จิ้นผิง เกี่ยวกับการประชุมใหญ่ครั้งที่ 20 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ซึ่งเขามั่นใจว่าจะได้ครองอำนาจต่อเนื่อง 3 สมัย ซึ่งแตกต่างไปจากธรรมเนียมที่เคยเป็นมา (เดิมรัฐธรรมนูญจำกัดวาระตำแหน่งของประธานาธิบดีจีนไม่เกิน 2 สมัย ระยะเวลา 10 ปี แต่ต่อมาก็ได้มีการเสนอแก้ไข ยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว ปูทางให้ปธน.สี เป็นผู้นำจีนคนแรกที่จะได้อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด และสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดชีวิต)
“สำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่เขาต้องแสดงให้บรรดาผู้นำทางการเมืองภายในพรรค(คอมมิวนิสต์จีน) เห็นว่า เขาเองนั้นได้รับความสนับสนุนทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างดีจากฝ่ายรัสเซีย” ดร.อเล็กซานเดอร์ โคโรเลฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน-รัสเซียจากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ ให้ความเห็น ทั้งยังมองว่า ปธน.ปูติน ผู้นำรัสเซียเอง ซึ่งกำลังรุกบ้าง ถอยบ้าง ในสมรภูมิการสู้รบในยูเครน ทั้งยังถูกรุมกระหน่ำด้วยมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ก็มีความต้องการอย่างยิ่งยวดที่จะแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า รัสเซียยังได้รับความสนับสนุนจากมหาอำนาจอย่างจีน
ทั้งนี้ จีนและรัสเซียได้ประกาศความสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างไร้ขีดจำกัด หรือ no limits partnership มาตั้งแต่ก่อนที่รัสเซียจะเปิดปฏิบัติการพิเศษทางการทหารในยูเครนเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีนนั้นยืนหยัดเคียงข้างรัสเซีย ทั้งที่พยายามแสดงให้นานาประเทศเห็นว่า จีนไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่จริงๆ แล้ว จีนอยู่ฝ่ายรัสเซียโดยไร้ข้อสงสัย โดยนับตั้งแต่ที่รัสเซียรุกรานยูเครนและมีปัญหากับสหรัฐกับชาติตะวันตกทั้งหลาย ปริมาณการค้าระหว่างจีน-รัสเซียก็ทะยานสูงขึ้น ทั้งยังมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจมากขึ้นด้วย
และด้วยท่าทีที่เปิดเผย จีนระบุว่าการขยายพื้นที่พันธมิตรนาโต (องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ) เข้ามาประชิดติดชายแดนรัสเซียมากยิ่งขึ้น นับเป็นการยั่วยุรัสเซียก่อน ทั้งยังเป็นการคุมคามเสถียรภาพของรัสเซีย แต่จีนก็ไม่ได้ให้การรับรองหรือสนับสนุนการรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซีย
นักวิเคราะห์การเมืองจีน-รัสเซียระบุว่า การเยือนคาซัคสถานและประเทศอื่นในเอเชียกลาง (อย่างอุซเบกิสถาน) ยังสะท้อนว่าประเทศเหล่านี้ มีความสำคัญต่อนโยบายความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ของปธน.สี จิ้นผิงอีกด้วย
นอกจากนี้ การแสดงความเป็นพันธมิตรอย่างไร้ขีดจำกัดระหว่างจีน-รัสเซีย ยังเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนในเวทีโลกว่า “จีนไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว” แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐในระยะหลัง ๆ นี้จะเสื่อมถอยลงก็ตาม