สงครามนิวเคลียร์รัสเซีย-สหรัฐใครจะชนะ เทียบหมัดต่อหมัดให้เห็นชัดที่นี่

14 ต.ค. 2565 | 02:19 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ต.ค. 2565 | 08:25 น.

สงครามนิวเคลียร์รัสเซีย-สหรัฐใครจะชนะ เทียบหมัดต่อหมัดให้เห็นชัดที่นี่ หมอเฉลิมชัยรวบรวมข้อมูลจำนวนนิวเคลียร์ที่แต่ละประเทศมีไว้ครอบครอง

สงครามนิวเคลียร์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐอเมริกามีโอกาสเกิดขึ้นได้หรือไม่ กำลังเป็นปรเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจและจับตามองอย่างใกล้ชิด

 

หลังจากที่ประเทศเบรารุสเองก็ประกาศว่าจะสนับสนุนรัสเซีย

 

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

ถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์จริง ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ผลจะออกมาสูสีกันมาก ที่ระเบิดนิวเคลียร์ 5977 ลูกกับ 5428 ลูก

 

หมอเฉลิมชัย ระบุว่า นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2488 ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากการประกาศยอมแพ้ของอิตาลีและเยอรมนีซึ่งเป็นแกนนำของฝ่ายอักษะในยุโรป

 

ก็เหลือเพียงญี่ปุ่น ที่ยังคงต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างทรหดในทวีปเอเชีย แม้จะเริ่มทยอยเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในสงครามย่อยๆหลายสมรภูมิก็ตาม

 

ญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่สองได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่เกรียงไกรมากทางด้านกำลังกองทัพ นับถือว่าเป็นลูกพระอาทิตย์ และกำลังทหารมีน้ำใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก พร้อมยอมสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ

เช่นกรณี เครื่องบินญี่ปุ่นที่ได้สร้างวีรกรรม “กามิกาเซ่” คือยอมตายพร้อมกับเครื่องบินที่ขับพุ่งเข้าใส่เรือรบของฝ่ายสัมพันธมิตร

 

ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องตัดสินใจใช้ระเบิดปรมาณู ในการจบสงครามกับญี่ปุ่น

 

โดยในวันที่ 6 สิงหาคม 2488 ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่เมืองฮิโรชิมาและ 9 สิงหาคม 2488 ทิ้งระเบิดที่เมืองนางาซากิ

 

จำนวนนิวเคลียร์ของแต่ละประเทศ

 

ทำให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2488 เป็นอันยุติสงครามโลกครั้งที่สองโดยสมบูรณ์

 

เป็นครั้งแรกที่ชาวโลกได้เห็นภยันตรายที่ร้ายแรงน่าสะพรึงกลัวอย่างมากของระเบิดปรมาณู ที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติมหาศาล ผู้คนล้มตายนับแสนคนในทันที

 

และผู้ที่รอดชีวิตจากระเบิดอีกจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ก็ได้เสียชีวิตภายหลังด้วยโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง

 

บ้านเรือน ระบบนิเวศน์ตลอดจนสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้เสียหายจนยากจะกู้คืนกลับในระยะเวลาอันสั้น

 

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เกิดสงครามเย็นระหว่างสองขั้วมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต ซึ่งมีระบบการปกครองที่แตกต่างกันคือประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์

 

เมื่อสงครามเย็นได้ยุติลง ด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้ทุกฝ่ายต้องหันมาทำความตกลงกัน เพื่อที่จะจำกัดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความร้ายแรงมากกว่าระเบิดปรมาณูสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

และยังจำกัดไม่ให้ประเทศที่ยังไม่ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ทำการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่

 

อย่างไรก็ตาม ก็มีประเทศเกาหลีเหนือและอิหร่าน ที่พยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมา

 

ขณะเดียวกันในส่วนความพยายามที่จะลงนามในสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ลง ก็พบตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการว่า

 

รัสเซียได้กำจัดไปแล้ว 1760 ลูก
สหรัฐอเมริกากำจัดไป 1800 ลูก

 

จำนวนที่ชัดเจนของระเบิดนิวเคลียร์ในความครอบครองของแต่ละประเทศ ล้วนแต่เป็นความลับทั้งสิ้น

 

ตัวเลขต่างๆที่มีการเผยแพร่ จึงเป็นตัวเลขประมาณการ ซึ่งจะมีข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูล

ประกอบด้วย

  • รัสเซีย 6257 ลูก
  • สหรัฐอเมริกา 5550 ลูก
  • จีน 350 ลูก
  • ฝรั่งเศส 290 ลูก
  • สหราชอาณาจักร 225 ลูก 
  • ปากีสถาน 165 ลูก
  • อินเดีย 156 ลูก
  • อิสราเอล 90 ลูก
  • เกาหลีเหนือ 40-50 ลูก

 

ในขณะที่อีกแหล่งข้อมูล ก็คาดว่า

  • รัสเซีย 5977 ลูก
  • สหรัฐอเมริกา 5428 ลูก

 

เมื่อรวมสองประเทศกลุ่ม Nato คือฝรั่งเศสและอังกฤษแล้ว ก็จะมีรวมทั้งสิ้น 5943 ลูก

 

จึงเห็นได้ว่า ถ้ามีการทำสงครามนิวเคลียร์จริง จากต้นเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน

 

ก็จะเป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายรัสเซียซึ่งมีระเบิดนิวเคลียร์ 5977 ลูกต่อสู้กับฝ่ายสหรัฐฯและนาโต้ มี 5943 ลูก ( สหรัฐอเมริกามี 5428 ลูก รวมกับฝรั่งเศส 290 ลูก และสหราชอาณาจักร 225 )

 

ก็น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนว่า คงจะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะที่เด็ดขาดจากสงครามนิวเคลียร์ครั้งนี้

 

แต่น่าจะเป็นฝ่ายแพ้ยับเยินด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิยุโรปคือ นาโต้กับรัสเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้ชิดติดกัน

 

ในขณะที่สหรัฐอเมริกาแม้จะอยู่ห่างออกไป และคงจะเสียหายน้อยกว่า แต่ก็คงจะยับเยินมากเช่นกัน

 

และคาดว่าประเทศต่างๆทั่วโลก ก็คงได้รับอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีที่ปกคลุมไปทั่วโลก

 

และคาดการณ์กันว่า หลังจากนั้นจะเกิดภาวะขาดแคลนอาหารและเสียชีวิตภายในอีก 2-5 ปีต่อมา ราว 5,000 ล้านคน จากพลเมือง 7,000 ล้านคน

 

จึงไม่คุ้มค่า และไม่มีเหตุผลอะไรที่พอจะนึกออก ที่จะก่อสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมา

 

มีคำกล่าวกันว่า

 

สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสงครามนิวเคลียร์นั้น ไม่มีใครทราบว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

 

แต่ให้เดาได้เลยว่า สงครามโลกครั้งที่ 4 มนุษย์จะต้องมาสู้กันด้วยมีดดาบ หอก และธนูกันอีกครั้งหนึ่งแน่นอน