ในการวิเคราะห์ว่า การเลือกตั้งกลางเทอม ของ สหรัฐอเมริกา หรือ midterm elections ที่เริ่มขึ้นวันนี้ (8 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ) จะมีผลอย่างไรต่อ ตลาดหุ้น บ้างนั้น สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน Strategas ชี้ว่า ผู้ลงทุนราว 70% ดูจะเทน้ำหนักให้กับชัยชนะของพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในทั้งสองสภา
หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า รัฐบาลของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต ก็น่าจะทำงานได้ยากลำบากมากขึ้นในสมัยการทำงานที่เหลือ โดยเฉพาะในแง่การผลักดันกฎหมายต่าง ๆ
รัฐบาลที่แบ่งแยกเช่นนี้อาจนำไปสู่จุดติดขัดทางการเมืองและอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ ๆ เป็นสิ่งที่บรรดานักลงทุนต่างมองว่าเป็นผลดีต่อหุ้น โดยจากการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งที่ผ่าน ๆ มา ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้ครองเสียงข้างมากในสภาสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นอยู่ในแดนบวก และนั่นก็อาจเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนหลังจากดัชนี S&P 500 ร่วงลงเกือบ 21% ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รูปแบบรัฐบาลเช่นนี้ จะกรุยทางสู่การเผชิญหน้าในประเด็นการขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะ ที่กระตุ้นความกังวลต่อความเสี่ยงการผิดชำระหนี้ของสหรัฐ
มาเจาะลึกกันว่า หุ้นในอุตสาหกรรมใดจะได้รับผลกระทบจากศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐครั้งนี้บ้าง
บริษัทบริหารจัดการความมั่งคั่ง UBS Global Wealth Management วิเคราะห์ว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งกลางเทอมจะออกมาเป็นเช่นไร งบประมาณด้านกลาโหมมีแนวโน้มจะพุ่งสูงต่อไป ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งในยูเครน แต่หากฝั่งรีพับลิกันได้เสียงข้างมากทั้งสองสภาจะเป็นการกำหนดทิศทางว่างบประมาณด้านกลาโหมจะเพิ่มขึ้น “อย่างมีนัยสำคัญ” เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นอย่าง “พอประมาณ” หากพรรคเดโมแครตยังได้เสียงข้างมากอย่างน้อยหนึ่งสภา
สมการการเมืองแบบนี้ จะฉายแสงไปยังหุ้นอย่าง Lockheed Martin หรือ Raytheon Technologies ปัจจุบัน ดัชนีหุ้นในกลุ่มธุรกิจการบินอวกาศและกลาโหมใน S&P 500 ปรับพุ่งขึ้นเกือบ 10% แล้วในปีนี้
หุ้นพลังงานทะยานทำผลงานได้ดีในปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานใน S&P 500 เพิ่มขึ้นกว่า 60% นับตั้งแต่ต้นปีมา ในขณะที่ดัชนีหลักทรัพย์โดยรวมร่วงราว 21%
หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา อาจมีการผลักดันนโยบายที่จะกระตุ้นการผลิตพลังงานของสหรัฐ ตามการวิเคราะห์ของธนาคาร Citi ซึ่งจะเอื้อต่อบริษัทสำรวจน้ำมัน ในขณะที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านแรงกดดันของราคาน้ำมันโลกด้วย
ทาง Strategas ประเมินว่า มาตรการที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านพลังงานโดยตรงจะส่งผลเชิงบวกต่อบริษัทท่อขนส่งพลังงานด้วยเช่นกัน
บริษัทด้านการลงทุน State Street Global Advisors มองว่า หากพรรครีพับลิกันครองสองสภาหลังเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ หุ้นธุรกิจพลังงานสะอาดจะได้รับผลกระทบเชิงลบ อาทิ ธุรกิจแผงพลังงานแสงอาทิตย์ และหุ้นด้านพลังงานทางเลือก แต่หากพรรคเดโมแครตที่ผลักดันนโยบายด้านพลังงานสะอาดได้ครองเสียงข้างมาก จะหนุนให้หุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ในปีนี้กองทุน Invesco Solar ETF ที่มุ่งลงทุนด้านพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกปรับลดลง 6% ไปแล้ว
หุ้นบริษัทยาและเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีด้านชีวภาพอาจได้รับประโยชน์หากพรรครีพับลิกันได้ครองเสียงข้างมากในสภาสหรัฐ หลังจากพรรคเดโมแครตผลักดันกฎหมายที่มุ่งเป้าปรับลดราคายาที่แพทย์สั่งจ่ายในสหรัฐ
ทัศนะของนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ชี้ว่า หุ้นกลุ่มนี้ได้เคลื่อนไหวไปในทางตรงข้ามกับฝั่งที่คาดว่าพรรคเดโมแครตจะได้ครองสองสภาในการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ จากที่ในช่วงที่ผ่านมา หุ้นธุรกิจสุขภาพลดลง 7% ในปีนี้ ขณะที่หุ้นยาและเวชภัณฑ์ปรับขึ้นประมาณ 1%
ทาง Strategas มองว่า สภาคองเกรสที่พรรครีพับลิกันกุมเสียงข้างมากจะผลักดันนโยบายความมั่นคงบริเวณพรมแดนสหรัฐเป็น “ประเด็นสำคัญอันดับต้น ๆ”
ข้อมูลจากบริษัท BTIG ระบุว่า ระหว่างที่บริษัทเรือนจำเอกชนและศูนย์กักกัน อย่าง CoreCivic และ Geo Group กำลังเผชิญกับ “กระแสข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง” ในช่วงการบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ความเสี่ยงต่อนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาลกลางสหรัฐ จะสลายหายไปในยุคที่สมการการเมืองเปลี่ยนแปลง
ที่ผ่านมา หุ้น CoreCivic เพิ่มขึ้น 12% ขณะที่หุ้น Geo Group เพิ่มขึ้น 15% ในปีนี้
หุ้นในธุรกิจกัญชา อย่าง Canopy Growth ดูมีการเคลื่อนไหวอยู่เป็นประจำ จากความพยายามผลักดันกัญชาถูกกฎหมายในสหรัฐ ซึ่งกฎหมายที่สนับสนุนธุรกิจกัญชาเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาสหรัฐ อย่างไรก็ตาม กองทุน The AdvisorShares Pure US Cannabis ETF ปรับลดลง 55% ในปีนี้
ตอนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าแผนการปฏิรูปบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นหรือไม่ แต่ชัยชนะของพรรครีพับลิกันไม่ว่าจะในสภาสูงหรือสภาล่าง อาจหมายถึงจุดชะงักงันด้านการผลักดันกฎหมาย และส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจเหล่านี้ โดยที่ผ่านมาดัชนีหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่ปรับร่วงลงราว 30% นับตั้งแต่ต้นปีมา