หลังการคุมเข้ม การแพร่ระบาดของโควิด มาตลอด 3 ปีภายใต้ นโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID) ในที่สุดเมื่อวันที่ 8 ม.ค.2566 จีน ได้ เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้นักเดินทางสามารถเข้า-ออกจีนได้สะดวกมากขึ้น ผู้เดินทางขาเข้าสามารถเยือนจีนได้โดยไม่ต้องกักตัว (จากเดิมที่เคยต้องกักตัว 8 วัน) แต่ยังคงต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ PCR เป็นลบก่อนขึ้นเครื่องบินจากประเทศต้นทางมายังจีนภายในเวลา 48 ชั่วโมง
นอกจากนี้ จีนยังกลับมาให้บริการเกี่ยวกับการยื่นขอวีซ่าทั่วไป ใบอนุญาตพำนัก และใบสำคัญถิ่นที่อยู่ สำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งอาจมีการดำเนินขั้นตอนเร่งด่วนในกรณีจำเป็น รวมถึงบริการออกวีซ่า ณ ด่านตรวจลงตรา นโยบายเดินทางผ่านแบบฟรีวีซ่าระยะ 24/72/144 ชั่วโมง และใบอนุญาตพำนักชั่วคราว แม้ยังคงมีการจำกัดจำนวนผู้ที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างฮ่องกงกับจีนได้ในแต่ละวัน
ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายการคุมเข้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศจีนที่ปรับลดระดับการควบคุมจากเดิมที่อยู่ในระดับ Category A ซึ่งเป็นมาตรการป้องกัน “ขั้นสูงสุด” สู่ระดับ Category B ที่ผ่อนคลายลงมาก
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็น การสิ้นสุดนโยบายซีโร่โควิด (Zero-COVID) ของจีน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องประเทศจากโควิด แต่นโยบายดังกล่าวซึ่งครอบคลุมถึงการตรวจหาเชื้อบ่อยครั้ง การจำกัดการเดินทาง และมาตรการล็อกดาวน์ปิดเมือง กลับส่งผลให้จีนต้องโดดเดี่ยวตัวเองจากประเทศอื่น ๆ ของโลก และส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจจีนเอง ซ้ำยังสร้างแรงกดดันจะทำให้ประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวประท้วงต่อต้านนโยบายดังกล่าวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนทางการจีนต้องผ่อนปรนการคุมเข้มโควิดอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.2565 เป็นต้นมา
กระตุ้นการเดินทาง-กระตุ้นเศรษฐกิจ
แม้ยังคงมีความกังวลว่า การยกเลิกนโยบายซีโร่โควิดอย่างกะทันหันอาจทำให้จีนมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้โรงพยาบาลมีผู้ป่วยล้น แต่นักลงทุนจำนวนมากคาดว่า การเปิดประเทศของจีนอย่างเต็มรูปแบบครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศซึ่งกำลังประสบปัญหาการเติบโตในอัตราต่ำสุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
การเปิดพรมแดนของจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังเริ่มต้นการเดินทางในช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือ ชุน-ยฺวิ่น ซึ่งเป็นช่วง 40 วันที่ผู้คนจำนวนมากเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวและเพื่อนฝูง คาดว่าจะมีผู้คนราว 2,000 ล้านคนเดินทางในช่วงนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปีที่ผ่านมา (2565) และใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดโควิดในปี (2562)
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ชาวจีนจำนวนมากคาดหมายจะเริ่มเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เช่น ไทยและอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม การที่บางประเทศกังวลเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นในจีน จนตัดสินใจออกมาตรการจำเพาะเจาะจงควบคุมการเดินทางของเที่ยวบินที่มาจากจีน รวมทั้งการที่เที่ยวบินระหว่างประเทศยังคงมีจำกัด ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า การเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนสู่ต่างประเทศแม้จะคึกคักขึ้นมาก แต่อาจจะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิดในเร็ววันนี้
จากคลิปวิดีโอที่โพสต์บนโซเชียลมีเดียของจีนเมื่อคืนวันอาทิตย์ (8 ม.ค.) จะเห็นว่า พนักงานท่าอากาศยานผู่ตงของนครเซี่ยงไฮ้ได้ถอดบอร์ดสีฟ้าที่ทำเครื่องหมายเส้นทางผ่านอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศสำหรับผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศเพื่อทำการกักตัวนานแปดวันออกไป นอกจากนี้ ยังมีอีกคลิปวิดีโอแสดงภาพผู้คนที่สวมกอดกันที่ประตูสนามบิน หลังได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
เทเรซา โจว ชาวฮ่องกงกล่าวว่า เธอมีความสุขมากและตื่นเต้นสุด ๆ หลังจากไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่ที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่มาหลายปีแล้ว เธอเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวอีกหลายสิบคนที่เตรียมเดินทางข้ามไปยังจีนแผ่นดินใหญ่จากด่านลั่วหม่าโจวของฮ่องกงในช่วงเช้าวันอาทิตย์ (8 ม.ค.)
สำหรับประเทศไทย
เที่ยวบินแรกจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารณสุข พร้อมคณะ จะเดินทางไปต้อนรับวันนี้ (9 ม.ค.) คือ เที่ยวบิน MF833 เดินทางมาจากเมืองเซี่ยเหมิน มีผู้โดยสารทั้งหมด 286 คน ขณะที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 ราว 300,000 คน (เปรียบเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยทั้งปีในปี 2565 ที่มีจำนวนประมาณ 274,000 คน)
โดยในระยะแรก คาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง( FIT) และด้วยข้อจำกัดของเที่ยวบินระหว่างกัน และจะมีจำนวนหนึ่งที่เดินทางเข้ามาผ่านด้านทางบก เช่น เชียงแสน และหนองคาย (โดยมากับรถไฟความเร็วสูง)
ทั้งนี้ แนวทางประสานการทำงานของ 3 กระทรวงหลักที่รับมือการเดินทางมาท่องเที่ยวของคนจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะตั้งศูนย์ประสานงานร่วม 3 กระทรวง (Tourist Help Center) เพื่อประสานงาน ติดตามข้อมูล แก้ปัญหา ตลอดจนให้ความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในระยะต่อไป