นายยูสต์ โอลีมานส์ นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและเป็นผู้เขียนหนังสือ "The Armed Forces of North Korea" กล่าวว่า การที่ รัสเซีย เร่งหาอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับการสู้รบใน สงครามยูเครน นั้น อาจเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้กับ เกาหลีเหนือ เนื่องจากการทำ ข้อตกลงซื้อขายอาวุธ กับรัสเซียจะช่วยให้เกาหลีเหนือมีรายได้ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและช่วยคลี่คลายวิกฤตการขาดแคลนเงินของประเทศได้
ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐอเมริกาเคยออกมาระบุว่า นายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้จัดหาปืนและกระสุน รวมทั้งกระสุนปืนใหญ่และขีปนาวุธ เพื่อสนับสนุนการทำสงครามให้กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย
แม้ว่าเกาหลีเหนือจะออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวโดยตลอด แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเรื่องนี้มีมูลความจริง และการทำข้อตกลงค้าอาวุธนั้นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนายคิม เนื่องจากการปิดพรมแดนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ฉุดเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้หดตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี
นอกจากนี้ ข้อมูลของธนาคารกลางเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานไม่กี่แห่งที่ทำการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของสองเกาหลีอย่างสม่ำเสมอ ระบุว่า เศรษฐกิจของเกาหลีเหนือไม่มีการเติบโตในปี 2564 และเผชิญกับกับความไม่แน่นอนในปี 2565
ในขณะเดียวกัน การที่เกาหลีเหนือจารกรรมสกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซีที่ดูเหมือนว่าจะให้ผลประโยชน์นั้น กลับกลายเป็นแรงกดดันให้กับเกาหลีเหนือเอง เนื่องจากราคาคริปโตฯทรุดตัวลงอย่างหนักหลังจากการล้มละลายของบริษัทเอฟทีเอ็กซ์ (FTX) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์คริปโตฯรายใหญ่
ฉะนั้น สิ่งเดียวที่นายคิมมีเป็นจำนวนมาก ก็คืออาวุธ โดยเฉพาะปืนใหญ่ยุคศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีประสิทธิภาพคล้ายคลึงกับปืนใหญ่ที่กองกำลังทหารแนวหน้าของยูเครนใช้ในการสู้รบ ขณะที่สถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศประเมินว่า เกาหลีเหนือมีอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล รวมทั้งคลังแสงปืนใหญ่ 21,600 กระบอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกาหลีใต้ตกอยู่ภายใต้การคุกคามมาหลายทศวรรษว่าอาจเผชิญชะตากรรมเหมือนกับเมืองมาริอูโพลในยูเครน
"เกาหลีเหนือจะใช้โอกาสนี้ในการระบายสต็อกอาวุธรุ่นเก่าจำนวนมากในคลังแสง" นายโอลีมานส์กล่าว และเสริมว่าที่ผ่านมานั้น เกาหลีเหนือได้ผลิตปืนใหญ่ลากจูงรุ่นเก่าจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ที่เข้ากันได้กับยุทธศาสตร์ส่วนหนึ่งของรัสเซีย