เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ การเดินทางเยือนกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน เมื่อวันจันทร์ (20 ก.พ.) ถือว่าประสบความสำเร็จจากหลายปัจจัย ได้แก่ การที่ทำเนียบขาวสามารถปกปิดการเดินทางของปธน.ไบเดน, การเดินทางภายใต้ความมืดในเวลากลางคืน และการแจ้งให้ รัสเซีย ทราบในนาทีสุดท้ายของการตัดสินใจของทางสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า ปธน.ไบเดนจะเดินทางเยือนยูเครน หลังจากที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐจะเดินทางเยือนโปแลนด์ในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันหลายครั้งว่าปธน.ไบเดนจะไม่เดินทางเยือนยูเครนแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ปธน.ไบเดน ยังพยายามแสดงตัวต่อสาธารณชนในกรุงวอชิงตัน ดีซี โดยได้ออกไปรับประทานอาหารค่ำกับนางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในวันเสาร์ที่ผ่านมา (18 ก.พ.) จนกระทั่งปธน.ไบเดนได้ปรากฎตัวอีกครั้งที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนวานนี้ (20 ก.พ.)
ขณะเดียวกัน หมายกำหนดการเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจประจำวันของปธน.ไบเดนที่ทำเนียบขาวแจ้งต่อสื่อมวลชนก็ไม่ได้มีการระบุถึงการเดินทางเยือนยูเครนแต่อย่างใด โดยผู้สื่อข่าวได้ขึ้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันไปกับปธน.ไบเดน โดยไม่ทราบว่ากรุงเคียฟจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง จนกระทั่งเครื่องบินลงจอดที่โปแลนด์วานนี้ และปธน.ไบเดนได้เดินทางจากโปแลนด์เข้าสู่ยูเครนโดยรถไฟ
ปฏิบัติการดังกล่าวได้ผ่านการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐเป็นเวลาหลายเดือนก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ก.พ.) ซึ่งปธน.ไบเดนกล่าวว่า เขายินดีแบกรับความเสี่ยงในการเดินทางครั้งนี้
รายงานข่าวระบุว่า หลังการตัดสินใจดังกล่าว ทำเนียบขาวก็ได้แจ้งให้รัสเซียทราบเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้
แจ้งให้รัสเซียรู้ล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง
นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐประจำทำเนียบขาว เปิดเผยว่า สหรัฐได้แจ้งล่วงหน้าให้รัสเซียทราบเกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเดินทางเยือนยูเครนในวันที่ 20 ก.พ. ก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยสหรัฐให้เหตุผลกับรัสเซียว่า การเดินทางของปธน.ไบเดนมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
นายซัลลิแวนเปิดเผยกับสื่อในภายหลังว่า การจัดเตรียมการเดินทางสำหรับปธน.ไบเดนในครั้งนี้มีความซับซ้อนมากกว่าการเดินทางเยือนอิรักและอัฟกานิสถาน เนื่องจากสหรัฐไม่มีกำลังทหารประจำการอยู่ในยูเครน
หลังสร้างความประหลาดใจด้วยการเดินทางเยือนกรุงเคียฟอย่างไม่มีการแจ้งกำหนดมาก่อน ปธน.ไบเดนเริ่มภารกิจด้วยการเข้าพบประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เพื่อแสดงการสนับสนุนของสหรัฐก่อนครบรอบ 1 ปี ของการที่รัสเซียใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ.2565
มีเสียงไซเรนดังทั่วกรุงเคียฟในระหว่างที่ปธน.ไบเดนหารือกับปธน.เซเลนสกีภายในอาสนวิหารนักบุญไมเคิลกลางกรุงเคียฟ แต่ไม่มีรายงานว่ารัสเซียได้ทำการโจมตีทางอากาศ หรือยิงขีปนาวุธโจมตีกรุงเคียฟแต่อย่างใด
ผู้นำสหรัฐได้กล่าวยกย่องความกล้าหาญของชาวยูเครนในการสู้รบกับรัสเซีย และยืนยันว่าสหรัฐจะยังคงให้การสนับสนุนยูเครน “ตราบนานเท่านาน” พร้อมประกาศให้ความช่วยเหลือทางการทหารเพิ่มเติมแก่ยูเครนอีกในวงเงิน 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรายละเอียดของความช่วยเหลือดังกล่าวจะมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในวันนี้ (21 ก.พ.)
หลังจากใช้เวลาอยู่ในยูเครนนาน 5 ชั่วโมง คณะของปธน.ไบเดนก็ได้มุ่งหน้าสู่โปแลนด์
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนได้เคยเดินทางเยือนกรุงเคียฟเป็นเวลา 6 ครั้งในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ครั้งนี้นับเป็นการเดินทางเยือนครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐ
ผู้เชี่ยวชาญชี้อันตราย "ไบเดน" จงใจเยือนยูเครน ยั่วยุ "ปูติน"
ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียระบุว่า การที่ปธน.โจ ไบเดน เดินทางเยือนยูเครน ถือเป็นการจงใจ “ยั่วยุ” รัสเซีย ก่อนที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จะทำการ แถลงนโยบายประจำปี (State of the Nation Address) ต่อรัฐสภารัสเซียในวันนี้ (21 ก.พ.ตามเวลาท้องถิ่น)
"นี่เป็นการยั่วยุของปธน.ไบเดน และผมคิดว่าพฤติกรรมของเขาจะถูกปธน.ปูตินนำไปพิจารณาสำหรับการจัดเตรียมถ้อยแถลงต่อรัฐสภา" นายวลาดิเมียร์ ซาริคิน รองผู้อำนวยการสถาบันแห่งประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ให้ความเห็น และว่า
"ปธน.ไบเดนจงใจเยือนยูเครนเพียง 1 วันก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายประจำปี ซึ่งถือเป็นการท้าทาย ปธน.ปูติน ผมคิดว่าเขาจะถูกตอบโต้กลับ" นายซาริคินกล่าวทิ้งท้ายว่า การกระทำของปธน.ไบเดนเป็นการบ่งชี้ว่า นักการเมืองสายเหยี่ยวในรัฐบาลสหรัฐกำลังประสบชัยชนะ