เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “เมตา” กลายเป็น "บริษัท Big Techแห่งแรก” ที่ประกาศปลดพนักงานจำนวนมาก “รอบที่ 2” หลังบริษัทเคยประกาศไว้ว่า จะปรับลดพนักงานใน 3 แผนกในอีกไม่กี่หลายเดือนข้างหน้า และจะกระทบต่อพนักงานประมาณ 10,000 คน
การปรับลดครั้งล่าสุดนี้ สร้างความ "น่าหงุดหงิดใจ" แก่พนักงาน และประเด็นการปลดพนักงานเป็นคำถามยอดนิยมที่จะถูกยกมาโพสท์ และถกเถียงกันในที่ประชุมภายในของบริษัท
บางคนได้แสดงความรู้สึกว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการทำลายขวัญกำลังใจ และความเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำของผู้ปฏิบัติงานระดับสูงหลายคนที่ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย”
พวกเขาตั้งคำถามว่า “ทำไมเราจึงยังควรทำงานอยู่ที่เมตา"
คำถามดังกล่าว อ้างอิงถึงสิ่งที่ “มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคยกล่าวไว้เมื่อปีที่แล้ว เขากระตุ้นให้พนักงานทำงานด้วย "ความเข้มข้น" มากขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจของบริษัทแม่อย่างเฟสบุ๊ก และ อิสตาแกรม
ย้อนกลับไปช่วงฤดูใบไม้ร่วง เมตาปลดพนักงานรอบแรกมากกว่า 11,000 คน หรือคิดเป็น 13% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในขณะนั้น และเป็นบริษัทเทคโนโลยีเจ้าใหญ่ “รายแรก” ที่ปลดพนักงานมากขนาดนี้ ในขณะที่บริษัทอื่นปรับลดพนักงานแค่หลักพัน หลังจากสถานการณ์ระบาดโควิด 19 กระทบต่อรายได้โฆษณาและระบบคลาวด์
การปรับโครงสร้างของเมตา ยังรวมถึง การพับโครงการที่ไม่มีความสำคัญ และลดบทบาทผู้บริหารระดับกลาง สิ่งเหล่านี้แม้จะทำให้พนักงานของเมตาไม่ชอบใจนัก แต่กลับ "ได้รับคำชื่นชม" จากบรรดาผู้ถือหุ้นและนักลงทุนว่ามาถูกทางแล้ว
ทั้งนี้ ราคาหุ้น Meta พุ่งขึ้นประมาณ 80% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าที่ Nasdaq Composite ประเมินว่าจะเพิ่มขึ้น 16%
“เมตา” จะประกาศ ผลประกอบการไตรมาสแรก วันที่ 26 เมษายนนี้ คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะได้รับอานิสงค์จากโฆษณาดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และคู่แข่งสำคัญอย่าง TikTok กำลังเผชิญแรงกดดันด้านกฎระเบียบ และการถูกแบนในบางประเทศ
ที่มา : Reuters