กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ล่าสุด IMF คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจ( GDP ) ที่แท้จริงทั่วโลกที่ระดับ 3.0% ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 0.2% จากการคาดการณ์ในเดือนเมษายน แต่ยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2567 ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 3.0%
IMF ยังคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั่วโลก ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงานจะชะลอตัวสู่ระดับ 6.8% ในปี 2566 จาก 8.7% ในปี 2565 และลดลงเหลือ 5.2% ในปี 2567 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงานจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดว่าจะอยู่ระดับ 6.0% ในปี 2566 จาก 6.5% ในปี 2565 และผ่อนคลายลงเหลือ 4.7% ในปี 2567
พร้อมเตือนว่าอัตราเงินเฟ้ออาจปรับสูงขึ้น หากสงครามในยูเครนทวีความรุนแรงขึ้น โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับการถอนตัวของรัสเซียจากโครงการส่งออกธัญพืชผ่านทะเลดำ หรือหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจากรูปแบบสภาพอากาศ El Nino ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น ซึ่งนั่นอาจนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ขณะที่มองการขยายตัวของการค้าโลกว่า มีโอกาสปรับลดลงมาอยู่ระดับ 2.0% ในปี 2566 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.7% ในปี 2567 แต่อัตราการเติบโตทั้งสองปีต่ำกว่า 5.2% ในปี 2565
"เศรษฐกิจโลกยังคงมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน ทำให้มีสัญญาณความคืบหน้าในระยะใกล้ อย่างไรก็ดี ยังคงมีความท้าทายอีกมากรออยู่ข้างหน้า และขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะทำการเฉลิมฉลอง" นายปิแอร์-โอลิวิเอร์ กูแรงชาส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าว.
ขณะเดียวกัน IMF ยังประเมินประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐและจีน โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 1.8% และ 1% ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ และคาดว่าเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัว 5.2% ในปีนี้ ก่อนที่จะชะลอตัวสู่ระดับ 4.5% ในปีหน้า
นอกจากนี้ IMF แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะสินเชื่อตึงตัวในสหรัฐ และอัตราการออมในภาคครัวเรือนที่ลดต่ำลง รวมทั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดในจีน หลังประกาศยุติมาตรการล็อกดาวน์