ตลาดการเงิน ติดตามความเคลื่อนไหวของ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ระดับโลกอย่าง ฟิทช์ เรทติ้งส์ อย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่ฟิทช์ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาลงสู่ระดับ AA+ จากระดับ AAA เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ ตลาดหุ้นทั่วโลก ร่วงลงอย่างหนักในวันดังกล่าว
หลังจากนั้น วานนี้ (17 ส.ค.) ฟิทช์ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อเนื่องด้วยการเตือนว่าอาจจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของจีนซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ A+ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของจีนลงสู่ระดับ A
ล่าสุดวันนี้ (18 ส.ค.) ในรายงานรายไตรมาสที่มีชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลก (Global Economic Outlook) ฟิทช์ได้ทบทวนตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในระยะกลางของประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วจำนวน 10 ประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น
โดยนายไบรอัน โคลตัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฟิทช์คาดการณ์ว่า ตัวเลข GDP ของประเทศขนาดใหญ่ในกลุ่มที่พัฒนาแล้ว จะไม่กลับไปขยายตัวได้ดีเท่ากับช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด
ทั้งนี้ เนื่องเศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจากภาวะชะงักงันทั่วโลกอันเนื่องมาจากโควิด-19 ระบาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าวิกฤตขาดแคลนก๊าซในยุโรปจะยังคงส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อภาคการผลิตทั้งในฝั่งอุปสงค์และอุปทาน
"ผลกระทบเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะสะท้อนให้เห็นผ่านทางการสะสมทุน (capital accumulation) ที่ชะลอตัวลง, การลดลงของสัดส่วนทุนต่อแรงงาน (capital deepening) และผลิตภาพแรงงาน (labour productivity) นอกจากนี้ คาดว่าอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน (labour force participation rates) ในสหรัฐและอังกฤษจะลดลงอย่างต่อเนื่อง" นายโคลตันกล่าว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ข้างต้นแล้ว ฟิทช์ได้ตัดสินใจ...