ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) พุ่งขึ้นกว่า 4% ในช่วงเช้าวันนี้ (9 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมองว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ ที่เป็นไปอย่างดุเดือดจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก โดย ณ เวลา 06.48 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 3.55 ดอลลาร์ หรือ 4.29% แตะที่ระดับ 86.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเปิดฉากขึ้น เมื่อกลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัวในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ต.ค.) โดยระดมยิงจรวดหลายพันลูกจากฉนวนกาซา พร้อมทั้งส่งกองกำลังติดอาวุธหลายสิบคนแทรกซึมเข้าไปโจมตีในหลายเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล ขณะที่กองทัพอิสราเอลตอบโต้กลุ่มฮามาสด้วยการส่งเครื่องบินรบถล่มฉนวนกาซา ส่งผลให้บ้านเรือน มัสยิด และบ้านพักของเจ้าหน้าที่ของกลุ่มฮามาสได้รับความเสียหายอย่างหนัก นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศกร้าวว่าจะใช้ปฏิบัติการทางทหารเอาคืนกลุ่มฮามาสอย่างสาสม
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ของอิหร่านซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของอิหร่านให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาสในการวางแผนโจมตีอิสราเอลในครั้งนี้ โดยหากมีการยืนยันว่าอิหร่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง ก็อาจจะทำให้สหรัฐอเมริกาเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน รวมถึงการห้ามไม่ให้อิหร่านส่งออกน้ำมัน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก
เช้าวันนี้เช่นกัน (9 ต.ค.) ที่ ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้นเกือบ 1% ยืนที่เหนือระดับ 1,860 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส โดย ณ เวลา 07.09 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 17.70 ดอลลาร์ หรือ 0.97% แตะที่ระดับ 1,862.90 ดอลลาร์/ออนซ์
นักลงทุนต่างพากันวิตกกังวลเกี่ยวกับการสู้รบครั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและของโลกในภาพรวมจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น