“ไบเดน” ยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอล แต่ชาติอาหรับขยับถอยห่างสหรัฐ

18 ต.ค. 2566 | 21:32 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ต.ค. 2566 | 02:34 น.

ปธน.โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เดินทางเยือนตะวันออกกลางสัปดาห์นี้ เพื่อแสดงความสนับสนุนอิสราเอลที่กำลังเปิดศึกกับกลุ่มฮามาส และพบปะหารือกับผู้นำชาติอาหรับอย่างจอร์แดนและอียิปต์ เพื่อหาแนวร่วมคลี่คลายความขัดแย้งและนำความช่วยเหลือสู่กาซา แต่สถานการณ์ไม่เป็นตามคาด

 

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา เดินทางถึงเทลอาวีฟเมื่อวันพุธ (18 ต.ค.) เพื่อแสดงความสนับสนุน อิสราเอล ท่ามกลาง สถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งระเบิดลูกใหญ่ไปตกที่โรงพยาบาลในเขตฉนวนกาซาเมื่อคืนวันอังคาร (17 ต.ค.ตามเวลาท้องถิ่น) ทำให้ผู้บริสุทธิ์รวมทั้งเด็กและสตรี เสียชีวิตหลายร้อยคน แผนการของผู้นำสหรัฐที่มุ่งแสดงจุดยืนเคียงข้างอิสราเอลและเปิดโต๊ะหารือกับผู้นำชาติอาหรับรวมทั้งรัฐปาเลสไตน์เพื่อแก้ไขปัญหาการเผชิญหน้า ก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลง

ทั้งฝ่ายอิสราเอลและฮามาสต่างปัดความรับผิดชอบและกล่าวโทษกันไปมา กรณีการยิงจรวดโจมตีโรงพยาบาลอัล-อะห์ลี-อาระบี แบปทิสต์ ในเมืองกาซาซิตี ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์โจมตีโรงพยาบาลครั้งนี้ มีผลทำให้อิสราเอลถูกประณาม มีการลุกฮือประท้วงและประณามอิสราเอลอย่างรุนแรงในหลายประเทศอาหรับ ทำให้ผู้นำจอร์แดนและอียิปต์ที่มีกำหนดพบปะหารือกับปธน.ไบเดน และผู้นำของรัฐปาเลสไตน์ ต้องประกาศยกเลิกการพบปะครั้งนี้ไปก่อน เพื่อไปปรับท่าทีการเจรจากันใหม่

ปธน.โจ ไบเดน กล่าวยืนยันกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกฯอิสราเอล ว่าสหรัฐพร้อมยืนหยัดเคียงข้างและให้ความช่วยเหลือ

ไม่เชื่อเป็นฝีมืออิสราเอล โบ้ยใส่กลุ่มญิฮาด

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวยืนยันถึงความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐและอิสราเอล โดยระบุว่า สหรัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่า อิสราเอลจะได้สิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อการป้องกันตนเอง

เดิมทีผู้นำสหรัฐมีแผนว่าหลังเดินทางเยือนอิสราเอลแล้ว ก็จะบินต่อไปพบกับกษัตริย์อับดุลลาห์แห่งจอร์เเดน และนายอับเดล-ฟาทาห์ เอล-ซิสซี ประธานาธิบดีอียิปต์ ที่กรุงอัมมานของจอร์เเดน แต่หลังจากเกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลในกาซา ทั้งสองผู้นำอาหรับจึงยกเลิกความคิดที่จะมีการประชุมสุดยอดกับปธน.ไบเดน รวมทั้งนายมาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์

สื่อต่างประเทศรายงานว่า การโจมตีโรงพยาบาลอัล-อะห์ลี-อาระบีแบปทิสต์ ในเมืองกาซาซิตี เมื่อคืนวันอังคาร (17 ต.ค.) ทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 500 ศพ ซึ่งน่าเศร้าที่ในจำนวนนี้เป็นเด็กและสตรีจำนวนมาก เรื่องนี้ทำให้บรรดาชาติอาหรับออกมาประณามอิสราเอล และมีการชุมนุมประท้วงอิสราเอลโดยประชาชนจำนวนมากทั้งในลิเบีย และเลบานอน

ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใครก็ตาม น่าเศร้าที่ผู้ป่วย เด็ก และสตรีจำนวนมาก ตกเป็นเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีโรงพยาบาลในฉนวนกาซา

แต่แม้กระนั้น ผู้นำสหรัฐก็ยังกล่าวยืนยันขณะยืนเคียงข้างนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเมื่อวันพุธ (18 ต.ค.) ว่า เขาเชื่อว่าการโจมตีโรงพยาบาล ไม่ใช่ฝีมือของอิสราเอล “เท่าที่ผมเห็น มันดูเหมือนว่าเป็นฝีมือของคนอื่น ไม่ใช่คุณ"

ทั้งนี้ กลุ่มติดอาวุธฮามาสกล่าวโทษอิสราเอลว่าเป็นผู้โจมตีโรงพยาบาลดังกล่าว โดยเรียกว่า นี่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่เผยให้เห็นอีกครั้ง ถึงโฉมหน้าของศัตรูผู้ก่ออาชญากรรม ฮามาสกล่าวว่าผู้เสียชีวิตนับร้อยและผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ เป็นผู้ป่วย เด็ก สตรี และครอบครัวที่ต้องอพยพหลบภัยสงครามออกจากที่อยู่เดิม

แต่กองทัพอิสราเอล หรือ Israel Defense Forces (IDF) ปฏิเสธข้อกล่าวหาของฮามาสโดยอ้างว่า ลักษณะความเสียหายของโรงพยาบาลไม่เป็นไปตามรูปแบบที่จะเกิดขึ้นจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล

นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยว่า โรงพยาบาลอัล-อาห์ลี อัล-อาราบี โดนถล่มด้วยจรวดที่ยิงหลงมาโดยกลุ่มนักรบที่เรียกว่า "อิสลามิก ญิฮาด" ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับฮามาส  อย่างไรก็ตาม โฆษกของกลุ่มอิสลามิก ญิฮาด ได้ออกมาปัดความรับผิดชอบในเรื่องนี้แล้วเช่นกัน โดยยืนยันว่าไม่มีจรวดของพวกเขาลูกไหนที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังว่าพวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งในและรอบเมืองกาซาซิตี ในช่วงเวลาดังกล่าว

โลกประณามการโจมตีผู้บริสุทธิ์-เรียกร้องหยุดยิง

ขณะที่การสู้รบยังคงทวีความรุนแรง มีเสียงเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ชาติปฏิปักษ์หันมาตั้งโต๊ะเจรจาสันติภาพ โดยนาย ริยาด มานซัวร์ ทูตประจำสหประชาชาติของชาวปาเลสไตน์ ออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ช่วยเป็นคนกลาง ทำให้เกิดความตกลงหยุดยิงระหว่างฮามาสและอิสราเอล

ขณะที่นายชาลส์ มิเชล ผู้นำสหภาพยุโรป(อียู) กล่าวเมื่อวันอังคาร (17 ต.ค.) ว่า การที่อิสราเอลตัดการเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีพพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า ประปา อาหาร และเชื้อเพลิงนั้น "ไม่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ"

การอพยพหนีภัยสงครามในฉนวนกาซา หลังกองทัพอิสราเอลประกาศเตือนให้อพยพใน 24 ชั่วโมง

มาตรการปิดล้อมฉนวนกาซาของกองทัพอิสราเอลตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมาเพื่อตอบโต้การที่กลุ่มฮามาสโจมตีใส่อิสราเอลสองวันก่อนหน้านั้น ทำให้ชาวปาเลสไตน์จำนวนนับล้านในเขตฉนวนกาซาไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีอาหาร เชื้อเพลิง หรือน้ำสะอาด นอกจากนี้ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา อิสราเอลยังระดมโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วงเข้าใส่ฉนวนกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 2,800 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 10,000 คน (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซา)

กษัตริย์อับดุลลาห์แห่งจอร์แดน ตรัสเมื่อวันอังคาร (17 ต.ค.) ว่า การกดดันให้ชาวปาเลสไตน์นับล้านอพยพลงทางใต้ตามคำเตือนของฝ่ายอิสราเอลที่มีแผนโจมตีฉนวนกาซาทางภาคพื้นดินเพื่อไล่ล่ากลุ่มฮามาสและเข้าช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกฮามาสจับไปนั้น ได้ทำให้ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากจากกาซาทะลักข้ามพรมแดนเข้าไปในจอร์เเดน และอียิปต์ ที่มีพรมแดนติดกัน ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง และทรงกำชับว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสลุกลามไปทั่วตะวันออกกลาง

ขณะเดียวกัน องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประเมินว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในเขตฉนวนกาซากำลังเผชิญความยากลำบากมากขึ้นในการใช้ชีวิตท่ามกลางไฟสงคราม พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่ม และคาดว่าจะมีชาวปาเลสไตน์ราว 1 ล้านคนที่อพยพหนีการสู้รบลงทางทิศใต้ของฉนวนกาซา ซึ่งในจำนวนนี้ ราว 400,000 คน ต้องหลบภัยอยู่ในสถานที่ที่สหประชาชาติจัดหาไว้ให้

นายอันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการยูเอ็น ได้ออกมาเรียกร้องการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมในทันที และเตือนอิสราเอลไม่ให้ลงโทษเหมารวมชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด

การประท้วงต่อต้านอิสราเอลและสนับสนุนปาเลสไตน์ในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ลุกลามกลายเป็นจลาจล

การประท้วงในกรุงวอชิงตัน เรียกร้องสหรัฐ-อิสราเอล ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา

การประท้วงต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอล ทั้งที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลในตุรกีและจอร์แดน รวมทั้งที่สถานทูตอเมริกันในประเทศเลบานอน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่ว่า ยิ่งการสู้รบยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อพลเรือนมากขึ้น กระแสชิงชังและการตอบโต้อย่างรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้กับชาวอิสราเอล รวมทั้งพลเมืองอเมริกัน เช่นเดียวกับที่ชาวปาเลสไตน์ในประเทศต่างๆ ก็พลอยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงและถูกชิงชังเช่นกัน 

ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้ออกคำเตือนพลเมืองให้งดเดินทางไปเลบานอน ที่มีการปะทะตามแนวชายแดนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน นอกจากนี้ ยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจฉุกเฉินบางส่วน อพยพออกจากสถานทูตสหรัฐในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เนื่องจากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงและไม่อาจคาดเดาได้