ภารกิจการเดินทางเยือนกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอลของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เพื่อแสดงการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่ออิสราเอล หลังกลุ่มฮามาสโจมตีครั้งใหญ่ในพื้นที่ทางใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีการออกแถลงการณ์จากทำเนียบขาวของสหรัฐฯ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
โดยยื่นคำร้องฉุกเฉินเพื่อขอให้สภาคองเกรสอนุมัติความช่วยเหลือมูลค่า กว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า ให้แก่ อิสราเอล ยูเครน และพันธมิตรอีกหลายประเทศ เนื่องจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับพันธมิตร และถือเป็นการลงทุนสำหรับอนาคตของสหรัฐฯ บนเวทีโลกในทศวรรษที่กำลังจะมาถึง
ต่อไปนี้คือการสนับสนุนของสหรัฐฯ ที่มีต่อทั้งสองประเทศ โดยอิสราเอลเป็นผู้รับความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ สะสมมากที่สุด นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่อิสราเอล เป็นจำนวนเงิน 158,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการช่วยเหลือระดับทวิภาคีและเงินทุนทางการทหาร ตามข้อมูลของ Congressional Research Service ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยนโยบายสาธารณะของรัฐสภาสหรัฐฯ
ในปี 2023 สหรัฐฯ จัดสรรเงิน 3,800 ล้านดอลลาร์ให้กับอิสราเอลในการจัดหาเงินทุนทางการทหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง 10 ปีที่ลงนามระหว่างคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอล 38,000 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2019 ถึง 2028
ขณะเดียวกันนับตั้งแต่สงครามในยูเครนเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ฝ่ายบริหารของโจ ไบเดนและรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ให้ ความช่วยเหลือแก่ยูเครน มากกว่า 75,000 ล้านดอลลาร์ครอบคลุมความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การเงิน และการทหารตามข้อมูลของสถาบันคีลเพื่อเศรษฐกิจโลก สถาบันวิจัยของเยอรมนี
ประมาณ 60% ของจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการทหาร เช่น อาวุธและความช่วยเหลือด้านความปลอดภัย
คลิกดูเเบบเต็ม Ukraine Support Tracker