ท่าทีของญี่ปุ่น ต่อ สถานการณ์การสู้รบของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ นั้น ยังคงยืนยันเหมือนเช่นเดิมคือ การวางตัวอย่างสมดุล และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง รวมทั้งการใช้ความพยายามทางการทูตในเวทีนานาชาติเพื่อเรียกร้องให้ร่วมกันหาทางทำให้สถานการณ์สงบลงโดยเร็ว ขณะเดียวกันก็ได้ให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมด้วย
ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว เปิดเผยรายงานสรุปโดยสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก (สน.ผชท.ทบ.) กรุงโตเกียว และข้อมูลที่ประมวลจากข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับปฏิกิริยาของรัฐบาล และกลุ่มต่างๆ ในญี่ปุ่น หลังการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งอาจนำมาใช้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ดังนี้
1) จุดยืนทางการทูตของญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางมากกว่า 90% และพยายามดำรงความสัมพันธ์กับทั้งประเทศอิสราเอลและอาหรับ โดยให้ความสำคัญกับเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าญี่ปุ่นจะดำรงตำแหน่งประธาน G7 ในปีนี้ แต่ก็ไม่เข้าร่วมในแถลงการณ์ร่วมเพื่อสนับสนุนอิสราเอลที่ประกาศโดย 5 ประเทศตะวันตก รวมถึงสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร อีกทั้งในวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งวันหลังจากการโจมตีอิสราเอลของฝ่ายฮามาสเริ่มขึ้น นายฟุมิโอะ คิชิดะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้โพสต์ในบัญชี X (Twitter) ของเขา “ประณามการโจมตีของกลุ่มฮามาสและกลุ่มอื่นๆอย่างรุนแรง'' แต่ไม่ได้ใช้คำว่า “ผู้ก่อการร้าย”
ต่อมา เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2566 จึงได้เริ่มปรากฏคำว่า “ผู้ก่อการร้าย” ในแถลงการณ์/แถลงข่าวของรัฐบาล ซึ่งผู้เกี่ยวข้องของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีความแน่ชัดขึ้นว่า เป็นการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจงและมีความโหดร้าย ซึ่งหลังจากนั้น นายมัตสุโนะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็แถลงท่าทีของญี่ปุ่นว่า จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อโน้มน้าวทั้งสองฝ่ายเพื่อให้สถานการณ์สงบลง
2) การดำเนินการที่สำคัญของญี่ปุ่นต่อเหตุการณ์นี้
นางคามิกาวะ โยโกะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ได้จัดการหารือทางโทรศัพท์หลายครั้งกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอลและปาเลสไตน์ รวมทั้งกับจอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ และกาตาร์ เพื่อร่วมหาแนวทางที่จะทำให้สถานการณ์สงบโดยเร็ว รวมทั้งมีการเยือนอียิปต์และเข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติเพื่อแก้ไขสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา
นอกจากนี้ เมื่อคืนวันที่ 17 ต.ค. 2566 นายฟุมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีแห่งอียิปต์ ซึ่งอยู่ติดกับฉนวนกาซาโดยเขากล่าวว่ากำลังติดตามสถานการณ์อิสราเอล-ปาเลสไตน์ด้วยความกังวลอย่างยิ่ง และขอความร่วมมือในการอพยพชาวญี่ปุ่นในฉนวนกาซาไปยังฝั่งอียิปต์
3) การช่วยเหลือฉุกเฉินด้านมนุษยธรรม
ในด้านมนุษยธรรม รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมฉุกเฉินแก่พลเรือนในฉนวนกาซาผ่านองค์กรระหว่างประเทศ มูลค่ารวม 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นระบุว่า จะดำเนินการทางการทูตต่อไปเพื่อแก้ไขสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม เพื่อให้การสนับสนุนที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำ การรักษาพยาบาล และการดูแลด้านสุขอนามัย
4) สถานการณ์ของชาวญี่ปุ่นในอิสราเอล
ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นระบุว่า ณ วันที่ 19 ต.ค. 2566 มีชาวญี่ปุ่นประมาณ 900 คนเหลืออยู่ในอิสราเอลและปาเลสไตน์ โดยยังไม่มีข้อมูลว่ามีชาวญี่ปุ่นได้รับอันตรายใดๆ นอกจากนี้ ยังมีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่มากในฉนวนกาซา ส่วนใหญ่เป็นผู้ปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรเพื่อการพัฒนาของเอกชน และยังสามารถติดต่อได้ทั้งหมดเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ยกระดับการแจ้งเตือนในพื้นที่เสี่ยงดังนี้
5) การเตรียมการด้านการอพยพชาวญี่ปุ่นออกจากพื้นที่
6) เกี่ยวกับปฏิกิริยาของกลุ่มต่างๆ ในญี่ปุ่น
ท่าทีของญี่ปุ่นต่อสถานการณ์การสู้รบของอิสราเอล-ปาเลสไตน์นั้นยังคงยืนยันเหมือนเช่นเดิมคือ การวางตัวอย่างสมดุล และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง รวมทั้งการใช้ความพยายามทางการทูตในเวทีนานาชาติเพื่อเรียกร้องให้ร่วมกันหาทางทำให้สถานการณ์สงบลงโดยเร็ว อีกทั้งการให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้เตรียมพร้อมสำหรับการอพยพชาวญี่ปุ่นหากมีความจำเป็น โดยได้เตรียมเครื่องบินลำเลียงของกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศไว้ที่จอร์แดนและจิบูตีซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่ขัดแย้ง