การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ 30 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วง สัปดาห์แห่งการประชุมผู้นำ (APEC Economic Leaders’ Week: AELW) เริ่มขึ้นแล้วในสัปดาห์นี้ (13-17 พ.ย.2566) ที่นครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยประเด็นที่ไทยจะนำเข้าหารือที่เอเปค มีโจทย์หลักในเรื่องการค้าและการลงทุน ส่วนสาระจากการหารือนอกรอบคาดว่าจะครอบคลุมหลากหลายหัวข้อที่สะท้อนวาระการทูตที่ไทยต้องการเห็นความคืบหน้า
สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ภาคภาษาไทย สัมภาษณ์ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นครซานฟรานซิสโก เมืองเจ้าภาพการประชุมสุดยอดเอเปคในครั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (12 พ.ย.) ระบุว่า หนึ่งในประเด็นที่สหรัฐซึ่งเป็นเจ้าภาพให้ความสำคัญคือ การเจรจากรอบการค้าที่สหรัฐริเริ่มไว้ เรียกว่า IPEF (Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity) หรือ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด - แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งนายปานปรีย์กล่าวกับวีโอเอว่า เรื่องนี้มีความคืบหน้าในหลายด้าน จะติดแต่เพียงเรื่องการค้าที่เป็นเสาหลักหนึ่ง ในทั้งหมดสี่เสาหลักของ IPEF ซึ่งประกอบด้วย
"ผมคิดว่า ทั้งสี่เสาหลักมาถูกทางแล้ว และค่อนข้างเป็นเรื่องที่ทันสมัย... เมื่อถามถึงความคืบหน้า เวลานี้สามเสาหลักหลังมีความคืบหน้าไปเยอะแล้วก็พร้อมที่จะลงนามกัน แต่เสาหลักแรกซึ่งเป็นเรื่องการค้าหรือ trade เป็นเสาหลักที่ต้องเจรจากัน เพราะยังมีรายละเอียดอีกหลาย ๆ ด้านที่ยังไม่ลงตัว แต่ก็เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้จะจบลงด้วยดี"
ทั้งนี้ ประเทศที่ร่วมเจรจากรอบเศรษฐกิจ IPEF มี 14 ประเทศ ได้เเก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บรูไน ฟิจิ อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เวียดนาม และไทย โดยอินเดียและฟิจิไม่ได้อยู่ในกลุ่มเอเปค แต่ร่วมหารือในกรอบ IPEF
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 พ.ย.)ว่า แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม 3 รายกล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า เสาหลัก IPEF เรื่องการค้าเป็นหัวข้อที่ยากที่จะให้เกิดความเห็นพ้องต้องกัน โดยหลายประเทศยังไม่เต็มใจตอบรับข้อเรียกร้องของสหรัฐ บ้างก็ขอเวลาพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องมาตรฐานแรงงานและสิ่งเเวดล้อม
กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรือง (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) เป็นหนึ่งในแผนงานภายใต้ Indo-Pacific Strategy หรือยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศยุทธศาสตร์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565
มีเป้าหมายที่จะยกระดับภูมิภาคอินโด- แปซิฟิกให้เสรีและเปิดกว้าง เชื่อมโยง มั่งคั่ง และพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ รวมถึงเพื่อปกป้อง ผลประโยชน์ของสหรัฐ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง และรักษาบทบาทมหาอำนาจเดี่ยวในภูมิภาคดังกล่าว
ปัจจุบัน IPEF เป็นกรอบยุทธศาสตร์ที่สหรัฐให้ความสนใจเป็นอย่างมากหลังจากที่เคยผลักดันข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) ก่อนหน้านี้
IPEF มีสมาชิก 14 ประเทศ ประกอบด้วย (เรียงตามอักษรภาษาอังกฤษ) ออสเตรเลีย บรูไนดารุสชาลาม ฟิจิ อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม มีมูลค่าเศรษฐกิจรวมกันกว่า 40% ของ GDPโลก และมีจำนวนประชากรครอบคลุม 60% ของประชากรโลก
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ของไทยเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจลงนามในข้อตกลงการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด - แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรือง (IPEF) ว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน และการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯของ IPEF
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะใช้โอกาสนี้ในการเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ที่ประเทศไทยจะผลักดันการลงทุนให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำคัญในซัพพลายเชนของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกด้วย
สำหรับสาระสำคัญในการเข้าร่วม IPEF คือ ที่ผ่านมาสมาชิกได้ร่วมเจรจาร่างเอกสารความร่วมมือที่ครอบคลุมทั้ง 4 เสาหลักความร่วมมือของ IPEF มาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ด้านการค้า ห่วงโซ่อุปทาน เศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเสาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
ภายใต้เสาความร่วมมือที่ 2 ประเทศหุ้นส่วน IPEF ได้เจรจาจัดทำร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด - แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานเสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อร่วมลงนามก่อนที่จะดำเนินการให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป
ร่างความตกลงฯ นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน สนับสนุนการจัดทำนโยบายทางการค้าและการลงทุนอย่างครอบคลุมในห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมบทบาทของแรงงานในระบบห่วงโซ่อุปทาน สนับสนุนการรับมือกับวิกฤติต่าง ๆ ที่จะนำมาซึ่งปัญหาห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ลดการบิดเบือนกลไกตลาด และสนับสนุนความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน เช่น การลงทุน วิชาการ โครงสร้างพื้นฐาน การเสริมสร้างขีดความสามารถทางอุตสาหกรรม และการเสริมสร้างความเชื่อมโยง เป็นต้น
ร่างความตกลงฯด้านห่วงโซ่อุปทานที่ไทยจะลงนามกับสมาชิก ประกอบด้วยข้อบทที่ครอบคลุมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่
ทั้งนี้ กำหนดให้ประเทศหุ้นส่วน IPEF ที่ลงนามแล้วให้สัตยาบันแสดงการยอมรับ หรือให้ความเห็นชอบความตกลงดังกล่าว ซึ่งความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับ 30 วันหลังจากวันที่ประเทศหุ้นส่วน IPEF ให้สัตยาบันอย่างน้อย 5 ประเทศ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เคยจัดทำรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานภายใต้ IPEF และเห็นว่า ไทยจะได้รับประโยชน์จากเสาความร่วมมือที่ 2 ในการเข้าถึงข้อมูลและใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือต่าง ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายแก้ไขปัญหาวิกฤติด้านห่วงโซ่อุปทาน การดึงดูดการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญหรือสินค้าหลัก และเป็นช่องทางสำหรับความร่วมมือเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าต่อสินค้าส่งออกจากไทยด้วย
สำหรับการประชุมหารือเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF Summit) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัปดาห์แห่งการประชุมผู้นำเอเปค และนายกฯเศรษฐาจะเข้าร่วมประชุมด้วยนั้น กำหนดมีขึ้นในวันที่ 16 พ.ย. ที่จะถึงนี้