กบฏฮูตี กลุ่มกองกำลังติดอาวุธในเยเมน ได้ส่งคำเตือนถึง กองทัพสหรัฐอเมริกา อีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ (24 ธ.ค.) โดยขู่ว่า ขอให้สหรัฐรีบถอนกำลังออกจาก ทะเลแดง โดยเร็วที่สุด "ทะเลแดงจะกลายเป็นทะเลเพลิงที่อันตราย ถ้าหากอเมริกาและชาติพันธมิตรยังคงแสดงพฤติกรรมที่กดขี่เช่นนี้ต่อไป" นายโมฮัมเหม็ด อับดุลซาลาม โฆษกของกลุ่มฮูตีกล่าวในแถลงการณ์ที่ออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์อัล-มาซิราห์ ที่กลุ่มฮูตีเป็นเจ้าของ
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสหรัฐกล่าวหาว่ากลุ่มฮูตีใช้โดรนโจมตีเรือเอ็มวี ไซบาบา (MV Saibaba) ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันของอินเดีย จดทะเบียนในประเทศกาบอง
อย่างไรก็ตาม นายอับดุลซาลาม โฆษกของกลุ่มฮูตี ปฏิเสธเรื่องดังกล่าว โดยอ้างว่าแท้จริงแล้วเป็นฝีมือเรือพิฆาตของสหรัฐที่ยิงขีปนาวุธพลาดเกือบโดนเรือดังกล่าว บริเวณทางตอนใต้สุดของทะเลแดง
"ในระหว่างที่เครื่องบินกองทัพเรือของเรากำลังปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในทะเลแดงอยู่นั้น เราพบเห็นเรือรบอเมริกันลำหนึ่งกระหน่ำยิงขีปนาวุธออกมาเป็นจำนวนมาก" นายอับดูซาลามกล่าว พร้อมเสริมว่า หนึ่งในขีปนาวุธของเรือรบสหรัฐได้ระเบิดใกล้กับเรือเอ็มวี ไซบาบา ซึ่งเดินทางมาจากท่าเรือรัสเซีย และมุ่งหน้าไปทางทิศใต้
โฆษกฮูตียังได้ประณามการขยายกองกำลังทหารนานาชาติในทะเลแดง ซึ่งนำโดยสหรัฐและชาติพันธมิตร โดยระบุว่าสหรัฐและพันธมิตรกำลังทำให้การเดินเรือระหว่างประเทศตกอยู่ในความเสี่ยง และเรียกร้องให้ถอนกำลังออกไป
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐได้ประกาศเปิดตัว ปฏิบัติการผู้พิทักษ์ความเจริญรุ่งเรือง (Operation Prosperity Guardian) ร่วมกับ 10 ประเทศ เพื่อปกป้องเส้นทางเดินเรือในทะเลแดงจากการโจมตีของกลุ่มฮูตี ซึ่งเปิดฉากโจมตีเรือพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลในทะเลแดงและทะเลอาหรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อ้างว่าเพื่อตอบโต้การที่กองทัพอิสราเอลระดมโจมตีเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา พร้อมกับเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีดังกล่าว และให้เปิดทางเพื่อจัดส่งอาหารและยาเข้าไปในพื้นที่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สถานการณ์ยังคงร้อนระอุ แต่บริษัทเมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือรายใหญ่สัญชาติเดนมาร์ก ได้ประกาศวานนี้ (24 ธ.ค.) ว่า ทางบริษัทกำลังเตรียมความพร้อมที่จะกลับมาให้บริการขนส่งสินค้าในทะเลแดงและอ่าวเอเดนอีกครั้ง หลังจากที่กองกำลังเฉพาะกิจภายใต้การนำของสหรัฐได้เข้าประจำการในทะเลแดง และสร้างความเชื่อมั่นว่าเรือบรรทุกสินค้าที่ใช้เส้นทางดังกล่าวจะได้รับความปลอดภัย
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา เมอส์กได้ตัดสินใจระงับการเดินเรือผ่านช่องแคบบับเอลมันเดบ ซึ่งเชื่อมระหว่างทะเลแดงกับอ่าวเอเดน หลังจาก เมอส์ก ยิบรอลตาร์ (Maersk Gibraltar) เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทได้ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของ กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน โดยกลุ่มกบฏได้ใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือในขณะที่เรือกำลังเดินทางจากเมืองซาลาลาห์ของโอมานไปยังเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบีย
สถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นทำให้เรือคอนเทนเนอร์มากกว่า 100 ลำของสายการเดินเรือต่างๆ ถูกกำหนดเส้นทางใหม่ทั่วแอฟริกาตอนใต้เพื่อหลีกเลี่ยง "คลองสุเอซ" ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือสินค้าที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะสินค้าประเภทเชื้อเพลิงและสินค้าที่เคลื่อนย้ายระหว่างเอเชียและยุโรป
ทั้งนี้ บรรดาเรือสินค้าที่ปรับเปลี่ยนเส้นทางเลี่ยงคลองสุเอซ ส่วนใหญ่เลือกแล่นรอบแหลมกู๊ดโฮปของแอฟริกาใต้ แต่การเปลี่ยนเส้นทางดังกล่าวจะเพิ่มระยะทางประมาณ 6,000 ไมล์ทะเลในการเดินทางโดยทั่วไปจากเอเชียไปยังยุโรป และอาจเพิ่มเวลาการส่งมอบผลิตภัณฑ์อีกสามหรือสี่สัปดาห์