“เวียดนาม” ถือเป็นประเทศที่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ทั้งจากปัจจัยด้านต้นทุนแรงงานและเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อุตสาหกรรมพลังงาน ที่ รัฐบาลเวียดนาม มุ่งมั่นสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานหมุนเวียน ท่านทูตฯ นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ได้ร่วมบอกเล่าถึงภาพรวมด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมพลังงานของเวียดนาม ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่นักลงทุนชาวไทยและการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว
“เวียดนามมีความเข้มแข็งท้างด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุนเป็นอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่มีความท้าทายเชิงภูมิรัฐศาสตร์มีความไม่แน่นอนหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามใน 9 เดือนแรกของปี ค.ศ. 2023 เติบโต อยู่ที่ 4.2% ดังนั้น ผมคิดว่าเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยม ตัวเลขที่น้อยประเทศจะทำได้” ท่านทูตฯ นิกรเดช กล่าวเปิดประเด็น พร้อมระบุว่า
เวียดนามน่าจะเป็น Top 3 ในโลกตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เวียดนามยังมีความเป็นพลวัตอยู่ในตัว มีการวางเป้าหมายนโยบายเศรษฐกิจ โดยประสงค์เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูงภายในปี ค.ศ. 2045 และได้ประกาศเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าไทย 15 ปี
“ผมถึงมองว่าเป้าหมายของเขามีความทะเยอทะยานในเชิงบวก และเวลาเวียดนามตั้งเป้าหมายอะไรก็มักไม่ค่อยพลาดเป้ามากนัก ดังนั้น ผมคิดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ของเวียดนามจะเป็นไปในทิศทางที่มั่นคง”
อย่างไรก็ดี เวียดนามเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติและการส่งออกค่อนข้างสูงคล้ายกับไทยในสมัยก่อน ตัวเลขการส่งออกของเวียดนามในช่วง 9 เดือนแรกของปี ค.ศ. 2023 มีมูลค่าลดลงจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ประมาณ 8.2% ผลจากคู่ค้าของเวียดนาม โดยเฉพาะลูกคาร้ายใหญ่อย่าง สหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป ทุกประเทศล้วนประสบปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ยอดการสั่งซื้อต่าง ๆ ของเวียดนามได้รับผลกระทบตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้ GDP และการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในภาพรวมลดลงด้วย
ถึงแม้เวียดนามจะประสบผลกระทบในเรื่องการส่งออก แต่หลายประเทศยังมองว่าเป็นประเทศที่น่าลงทุน จากสถิติช่วง 9 เดือนแรกของปี ค.ศ. 2023 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของเวียดนามอยู่ประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือว่าสูงมาก เพิ่มขึ้น 7.5 – 7.7%
ท่านทูตฯ เผยมุมมอง 3 ประเด็นที่ทำให้เวียดนามยังเป็นประเทศน่าลงทุน ได้แก่
จากการที่เวียดนามประกาศแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2050 และมุ่งมั่นสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานมีความน่าสนใจขึ้นอย่างมากในสายตานักลงทุนจากทั่วโลกรวมถึงนักลงทุนไทย
“ภาพรวมความสัมพันธ์ไทยกับเวียดนามอยู่ในระดับที่ผมคิดว่าดีที่สุดในตอนนี้ คือ ทั้ง 2 ฝ่ายมีความสนิทสนม มีความไว้เนื้อเชื่อใจ มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงมาก ในปีหน้าเราก็มีแผนที่จะแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ ตั้งแต่รัฐมนตรีต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี รวมถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม” ท่านทูตฯ นิกรเดชกล่าว
ทั้งนี้ ไทยถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของเวียดนามในอาเซียน ปัจจุบันมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม อยู่ที่เกือบ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่ามูลค่าการค้าจะเกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2025
ส่วนในแง่การลงทุน ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 9 ของเวียดนามด้วยโครงการลงทุนประมาณ 766 โครงการ อย่างไรก็ดี ในระดับอาเซียน สิงคโปร์ยังครองอันดับหนึ่งด้านการลงทุนในเวียดนาม การลงทุนของไทยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการผลิต สินค้าอุตสาหกรรม การแปรรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพลังงานทดแทน ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่กว่า 13,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อปี ค.ศ. 2022 ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ ร่วมกับภาคเอกชนไทยได้ร่วมกันจัดตั้ง หอการค้าและอุตสาหกรรมไทยในเวียดนาม หรือ Thai Chamber of Commerce and Industry (ThaiCham) ทำให้การสื่อสารเพื่อกระตุ้นการลงทุนกับรัฐบาลเวียดนามเป็นไปได้ง่ายขึ้น ผนวกกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ และนโยบายดึงดูดการลงทุนที่ดีของไทย ทำให้เกิดกิจกรรมการลงทุนระหว่างสองประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนต่อไป ซึ่งเป็นตอนจบของบทความชิ้นนี้ เรามาติดตามโอกาสความร่วมมือระหว่างไทยและเวียดนามในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ว่าจะเป็นไปในทิศทางที่เติบโตและยั่งยืนได้อย่างไร
คอลัมน์ ชี้ช่องจากทีมทูต เป็นความร่วมมือระหว่างฐานเศรษฐกิจ กับศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ globthailand.com กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ / ข้อมูลจาก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย