ถือเป็นครั้งที่สามที่คณะรัฐมนตรีเพื่อการตัดสินใจจัดประชุมนับตั้งแต่อิหร่านยิงขีปนาวุธและโดรนมากกว่า 300 ลูกใส่อิสราเอลเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า เจ้าหน้าที่กล่าวว่าไม่ได้กำหนดเวลาสำหรับการประชุม
คณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอล ใช้เวลาที่ผ่านมาพิจารณาว่าจะตอบสนองต่อการโจมตีโดยตรงครั้งแรกของอิหร่านได้อย่างไร หลังการระดมยิงขีปนาวุธและโดรนมากกว่า 300 ลูก ซึ่งส่วนใหญ่ถูกสกัดกั้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และจอร์แดน
หลายฝ่ายจับตาขั้นตอนต่อไปของอิสราเอล ทั้งการที่ประเทศจะต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อแสดงให้อิหร่านเห็นว่าการแสดงกำลังอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่สามารถผ่านไปได้โดยไม่มีผลกระทบ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงเนื่องจากอิหร่านขู่ว่าจะโจมตีอีกครั้ง ด้วยกำลังที่มากขึ้น หากอิสราเอลตอบโต้
อิสราเอลจะตอบโต้ไหม ?
แม้ว่าอิสราเอลจะบอกเป็นนัยว่าการตอบโต้โดยตรงต่ออิหร่านนั้นยังไม่ใกล้จะเกิดขึ้น เเละ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก็ยังไม่ได้ทำการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ
แต่ พล.ร.ต. แดเนียล ฮาการี โฆษกกองกำลังป้องกันอิสราเอลหรือไอดีเอฟ (Israel Defence Force-IDF) แถลงชัดเจนว่า อิสราเอลยังคงเปิดทางเลือกไว้ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยได้อนุมัติแผนปฏิบัติการสำหรับทั้งการโจมตีและการป้องกัน เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
3 ประเด็นที่อิสราเอลต้องพิจารณาก่อนตอบสนองต่ออิหร่าน
the guardian รายงานได้อย่างน่าสนใจ ว่ามีปัจจัยหลัก 3 ประการที่อิสราเอลต้องชั่งน้ำหนักก่อนจะตอบสนอง โดยนักวิจัยจากสถาบันการศึกษาความมั่นคงแห่งชาติของอิสราเอล
ประการหนึ่ง อิหร่านจะตอบสนองอย่างไร เพราะได้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าการตอบโต้ของอิสราเอลจะต้องพบกับปฏิกิริยาที่รุนแรงยิ่งกว่านี้
ประการที่สอง จุดยืนของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่สนใจที่จะยกระดับความรุนแรง และต้องการยุติการต่อสู้รอบนี้
ประการที่สาม นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2566 อิสราเอลพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดแนวรบใหม่ เพื่อมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา
อิสราเอลจะรับมือกับสงครามกับอิหร่านได้หรือไม่
นักวิเคราะห์ ระบุว่าหากทั้งสองฝ่ายทำสงคราม อิสราเอลได้เตรียมการสำหรับสถานการณ์หลายแนวรบมานานหลายปี
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งในวงกว้างที่กลุ่มฮิซบุลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเลบานอน จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่อิสราเอลเผชิญอยู่นับตั้งแต่สงครามยมคิปปูร์ในปี 1973
สงครามในภูมิภาคจำเป็นต้องใช้อาวุธ กระสุน และขีปนาวุธป้องกันทางอากาศจำนวนมหาศาล รายงานบางฉบับปรากฏว่า มีการขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ในสงครามในฉนวนกาซาแล้ว หากไม่มีคำเตือนล่วงหน้าสำหรับการโจมตี มีความเป็นไปได้มากที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศหลายชั้นของอิสราเอลอาจถูกครอบงำได้
75% ของกองทัพ ประกอบด้วยทหารกองหนุน โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น โรงไฟฟ้า น้ำประปา และการคมนาคม มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะมีขนาดใหญ่มาก
อิหร่าน
อิหร่านเป็นหนึ่งในรัฐที่มีการติดอาวุธมากที่สุดในภูมิภาค โดยมีกองทัพประจำการอย่างน้อย 580,000 นาย และคลังขีปนาวุธ 3,000 ลูก ตามการประมาณการของชาติตะวันตก
อย่างไรก็ตาม อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาของสงครามในฉนวนกาซาว่า อิหร่านไม่ต้องการถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งในวงกว้าง เศรษฐกิจและประชาชนของอิหร่านกำลังประสบปัญหาภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ
อิหร่านโจมตีอิสราเอลหลังการโจมตีเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งโจมตีอาคารทางการฑูตแห่งหนึ่ง และสังหารผู้บัญชาการระดับสูงของอิหร่าน นับตั้งแต่สหรัฐฯ ลอบสังหารพลสุไลมานี ผู้นำกองกำลังคุดส์ ในอิรักในปี 2020
สหรัฐฯ จะมีส่วนร่วมในสงครามอิสราเอล-อิหร่านหรือไม่?
ผลของสงครามจะขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของอิสราเอล จะให้การสนับสนุนมากน้อยเพียงใด
ทรัพยากรของประเทศได้รับความตึงเครียดจากสงครามในยูเครน จนถึงจุดที่เจ้าหน้าที่อิสราเอล ระบุว่า ไม่ได้รับอาวุธตามที่ร้องขอจากสหรัฐฯ และ โจ ไบเดน ก็ลังเลที่จะเข้าสู่ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีการเลือกตั้งสหรัฐฯ