KEY
POINTS
แหล่งข่าวสหรัฐเผย ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมไฟเขียว แผนขึ้นภาษี สินค้าอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของจีนที่คาดว่าจะมีการประกาศต้นสัปดาห์นี้ ซึ่งจะทำให้ รถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากจากจีน ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นสี่เท่า ขณะที่สินค้าอื่นๆ ที่เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน เช่น แบตเตอรี่ และอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเช่นกัน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลสหรัฐจะประกาศมาตรการภาษีเรียกเก็บจากสินค้าจีนหลายรายการอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นวันอังคาร (14 พ.ค.) โดยมีเป้าหมายพุ่งไปที่อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของจีน (key strategic sectors) ซึ่งครอบคลุมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แบตเตอร์รี่ และอุปกรณ์แผงพลังแสงอาทิตย์
แหล่งข่าวใกล้ชิดความเคลื่อนไหวครั้งนี้เปิดเผยว่า สหรัฐจะขยับอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากรถยนต์อีวีนำเข้าจากจีนในอัตราสูงขึ้นสี่เท่าจากเดิม 25% เป็น 100% ขณะที่รถยนต์จีนประเภทอื่นๆจะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 2.5%
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนครั้งนี้ เป็นการพิจารณาทบทวนมาตรการจัดเก็บภาษีภายใต้มาตรา 301 ที่รัฐบาลสหรัฐในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเสนอไว้ในปี 2018 แต่ในยุคของปธน.ทรัมป์เป็นการขึ้นภาษีแบบเหวี่ยงแหครอบคลุมหมวดสินค้าแบบยกแผง ขณะที่การขึ้นภาษีของปธน.โจ ไบเดน จะเป็นการเจาะจงเก็บภาษีเพิ่มเฉพาะหมวดที่เป็นอุตสาหกรรมสำคัญ หรืออุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ของจีน อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ และอุปกรณ์แผงพลังแสงอาทิตย์
"สหรัฐไม่ต้องการทำสงครามการค้ากับจีน แต่ต้องการแข่งขันกับจีนอย่างเป็นธรรม"
คาดว่านอกเหนือจากนี้ สหรัฐจะคงอัตราภาษีส่วนใหญ่เอาไว้ที่อัตราเดิม และการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนครั้งนี้อาจจะเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่ายที่จะได้รับผลกระทบ
แหล่งข่าวระบุว่า ถึงแม้ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไบเดนในเรื่องนี้อาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่ก็เป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่สุดในแง่การแข่งขันกับจีนในเชิงเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้ ในเดือนเมษายน รัฐบาลสหรัฐเพิ่งประกาศขึ้นภาษีสินค้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมจากจีนในอัตรา 25% และเริ่มการไต่สวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่อเรือของจีนว่ามีการอุดหนุนซึ่งก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางการค้าหรือไม่
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปธน.โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐจากพรรคเดโมแครต กำลังเข้าสู่เส้นทางเลือกตั้งเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง ไบเดนมีท่าทีเกี่ยวกับมาตรการภาษีที่จะเรียกเก็บจากสินค้าจีนแตกต่างไปจากจุดยืนของคู่แข่งอย่างอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ที่ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแบบยกแผง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวชุดปัจจุบัน มองว่าเป็นมาตรการที่รุนแรงเกินไปและอาจทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐตามมา
แหล่งข่าวระบุว่า ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) มีข้อเสนอแนะไปยังทำเนียบขาวในเรื่องการขึ้นภาษีตั้งแต่หลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่การประกาศโดยประธานาธิบดีถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากยังคงมีการถกเถียงกันเป็นการภายใน
รอยเตอร์รายงานว่า มาตรการทางภาษีของสหรัฐครั้งนี้อาจทำให้จีนออกมาตรการตอบโต้และจุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่ขึ้นมาได้ ท่ามกลางบริบทที่สองชาติมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกอย่างสหรัฐและจีน มีบรรยากาศความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สหรัฐมีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างครอบคลุม และทำให้จีนออกมาตรการทางภาษีตอบโต้ออกมาอย่างดุเดือด
ปธน.ไบเดน ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า เขาไม่ต้องการให้เกิดสงครามการค้ากับจีน แม้จะยอมรับว่า ทั้งสองประเทศกำลังก้าวเข้าสู่การแข่งขันในรูปแบบใหม่
ข่าวความเคลื่อนไหวของสหรัฐในการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากจีนรอบใหม่ ทำให้เงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี CSI 300 Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นจีนอ่อนค่าลง 0.6% นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวมีผลให้นักลงทุนชะลอการซื้อขายหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐ เช่น หุ้นของผู้ผลิตแบตเตอร์รี่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนว่า สหรัฐจะขึ้นภาษีในอัตราเท่าใดและครอบคลุมสินค้าอะไรบ้าง ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะตอบคำถามสื่อในเรื่องดังกล่าว แต่ได้แสดงจุดยืนมาตลอดเกี่ยวกับพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมของฝ่ายจีน โดยปธน.ไบเดนกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหรัฐไม่ต้องการทำสงครามการค้ากับจีน แต่ต้องการแข่งขันกับจีน "อย่างเป็นธรรม" เนื่องจากที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวทำให้รัฐบาลจีนพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยการให้เงินอุดหนุน ซึ่งมีผลทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีราคาถูกเมื่อเทียบกับสินค้าของคู่แข่ง
รายงานข่าวระบุว่า การตัดสินใจขึ้นภาษีของปธน.ไบเดนจะถูกประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ซึ่งปัจจุบันมีนางแคทเธอรีน ไท่ (Katherine Tai) เป็นผู้แทนการค้า ไท่กล่าวว่า เธอต้องการเห็นมาตรการทางภาษีที่จำเพาะจงมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จนถึงขณะนี้ รัฐบาลปักกิ่งยังไม่ได้ตอบโต้ท่าทีของสหรัฐ แต่เคยระบุว่า กำแพงภาษีเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ และจะส่งผลกระทบด้านลบทั้งต่อเศรษฐกิจของสหรัฐเองและเศรษฐกิจโลกในภาพรวม
ปัจจุบัน สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนคิดเป็นมูลค่า 279,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลปี 2566) ลดลงจากสถิติในปี 2565 ซึ่งสหรัฐขาดดุลการค้าจีนอยู่ถึง 382,295 ล้านดอลลาร์ ส่วนช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค. ถึง มี.ค. 2567) สหรัฐขาดดุลการค้าจีนที่ระดับ 60,773 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลอ้างอิง