ปัจจัยแวดล้อมซ้ำเติม "วิกฤตตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน" ดันค่าระวางเรือพุ่งแรง

27 พ.ค. 2567 | 02:17 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ค. 2567 | 04:30 น.

ภาวะวิกฤตตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนท่ามกลางหลากหลายปัจจัยลบที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ส่งผลให้อัตราค่าระวางเรือสำหรับการขนส่งสินค้าทางทะเลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  

KEY

POINTS

  • ภาวะวิกฤตตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนเกิดขึ้นในช่วงที่ฤดูกาลขนส่งสูงสุดของปีกำลังเริ่มต้นขึ้น ทำให้อัตราค่าระวางสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
  • สภาพอากาศเลวร้ายในเอเชีย การเดินทางข้ามมหาสมุทรที่ยาวนานขึ้น และการที่เรือยกเลิกการแวะท่าเรือบางแห่ง ลดเวลาเทียบท่าเพื่อชดเชยเวลาเดินทาง ล้วนเพิ่มปัญหาให้กับห่วงโซ่อุปทาน
  • บริษัทวิจัยด้านการขนส่งสินค้าทางเรือ Xeneta เตือนว่า อัตราค่าระวางเรืออาจเพิ่มขึ้นตลอดทั้งเดือนมิถุนายน และอาจจะสูงกว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติทะเลแดงเมื่อต้นปีนี้ ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อราคาผู้บริโภค

ปัจจัยลบ หลายประการที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลานี้ ทำให้เกิดภาวะ วิกฤตขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ อย่างสมบูรณ์แบบ ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็น “Perfect Storm” ใน วงการขนส่งสินค้าทางทะเล ที่มีจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอสำหรับการให้บริการอยู่แล้ว ส่งผลให้ อัตราค่าระวางเรือทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเหนือคาดหมาย

การเริ่มต้นของฤดูกาลขนส่งสินค้าทางทะเลที่เข้าสู่จุดที่เรียกว่า "แน่นขนัดที่สุด" ของปี ประกอบกับระยะเวลาในการขนส่งสินค้าที่ยาวนานมากขึ้นเนื่องจากมีการปรับเส้นทางเดินเรือเพื่อหลีกเลี่ยงทะเลแดงที่ยังได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง และสภาพอากาศเลวร้ายในเอเชีย ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าทางเรือในเส้นทางหลักของโลก บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือบางรายลดการแวะท่าเรือบางแห่งหรือพยายามลดเวลาที่ใช้ในการเข้าเทียบท่า และไม่รับตู้คอนเทนเนอร์เปล่า เพื่อพยายามให้เรือของตนสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดที่วางไว้

ปัญหาต้นทุนที่กำลังเพิ่มสูงในห่วงโซ่อุปทานนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ฤดูกาลขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับวันเปิดเทอมและวันหยุดต่างๆในช่วงครึ่งหลังของปีกำลังเริ่มขึ้น

เอมิลี สเตาส์เบิล (Emily Stausbøll) นักวิเคราะห์อาวุโสด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล ของบริษัทวิจัยซีเนตา (Xeneta) ให้ความเห็นว่า อัตราค่าระวางเรือตามราคาตลาด (spot rate)ในเส้นทางต่างๆจากโซนตะวันออกไกลไปจนถึงชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มว่าจะพุ่งสูงขึ้น และจะเกินระดับสูงสุดที่เคยเห็นในช่วงที่เกิดวิกฤตทะเลแดงเมื่อต้นปีนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้นในครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นอย่างปุบปับฉับพลันและเป็นอัตราที่เพิ่มสูงเหนือคาดหมาย

ข้อมูลของ Xeneta แสดงให้เห็นว่า อัตราค่าระวางเรือตามราคาตลาด (spot rate) กำลังปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความต่างระหว่างอัตรา spot rate กับอัตราระยะยาว (long-term rate) ก็ห่างกันมากขึ้นด้วย ซึ่งยิ่งส่วนต่างระหว่างอัตราค่าระวางเรือระยะสั้นและระยะยาว มีมากขึ้นเท่าใด ความเสี่ยงที่สินค้าจะเจอปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับจะขนส่งก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย  

ตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอรองรับความต้องการในการขนส่งสินค้าทางเรือในหลายพื้นที่ ตั้งแต่เอเชียไปจนถึงอเมริกาใต้

ทั้งนี้ อัตราค่าระวางเรือ spot rate เคยปรับลดลงมาบ้างแล้วหลังจากที่เพิ่มขึ้นไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลแดงเมื่อช่วงต้นปี แต่นับจากปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมา ก็เริ่มดีดตัวสูงขึ้นอีกครั้ง โดยราคาสปอตการขนส่งสินค้าทางเรือเส้นทางที่มุ่งไปยังชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นแล้วโดยเฉลี่ย 1,500 ดอลลาร์ และขณะนี้ อัตราสูงสุดเท่าที่บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือบางรายได้เริ่มเรียกเก็บแล้วนั้น เป็นอัตราที่สูงกว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมาถึงสองเท่าตัว

สถานการณ์คล้ายช่วงโควิดระบาด แต่ราคาอาจสูงกว่า

นักวิเคราะห์ของ Xeneta กล่าวว่า สถานการณ์ขาดแคลนตู้คอนเทอร์เนอร์สำหรับการขนส่งสินค้าทางเรือที่กำลังเกิดขึ้นนี้ คล้ายกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อครั้งที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาด

“สิ่งหนึ่งที่คล้ายกันก็คือ บางบริษัทขยับราคาขึ้นสู่ระดับสูงเป็นพิเศษ ที่เรียกว่าราคาพรีเมี่ยม เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นใจให้ลูกค้าว่าจะมีตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่งอย่างแน่นอน” สเตาส์เบิลกล่าว และจากข้อมูลของ Xeneta ชี้ว่า ราคาน่าจะยังคงปรับสูงขึ้นอีกต้นเดือนมิถุนายนนี้ 

บริษัท ดีเอชแอล (DHL) ผู้ให้บริการขนส่งสินค้า ได้ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สินค้ามาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว เนื่องจากนับตั้งแต่ที่กลุ่มกบฎฮูตีในเยเมนโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง(เพื่อเป็นการตอบโต้อิสราเอลที่เปิดฉากสงครามในฉนวนกาซา) บริษัทเดินเรือก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวซึ่งทำให้ระยะทางการขนส่งไกลขึ้นและใช้เวลายาวนานกว่าเดิม

เมื่อตู้คอนเทนเนอร์สินค้าต้องอยู่บนเรือที่รอนแรมในทะเลนานขึ้น ก็ทำให้เกิดการขาดเคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่จำเป็นต้องใช้ในการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือ รวมทั้งการโหลดสินค้าใหม่ขึ้นเรือ สถานการณ์ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยลบอื่นๆ คือสภาพอากาศเลวร้ายในเอเชีย ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของท่าเรือในจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์

เกิร์ตส์ เอลแบรนด์ (Goetz Alebrand) หัวหน้าฝ่ายขนส่งสินค้าทางเรือภาคพื้นทวีปอเมริกาของบริษัทดีเอชแอล (DHL) กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ CNBC เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เวลานี้ ตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอรองรับความต้องการในการขนส่งสินค้าทางเรือในหลายพื้นที่ ตั้งแต่เอเชียไปจนถึงอเมริกาใต้ เส้นทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก และเส้นทางจากเอเชียไปยังยุโรป

เขายกตัวอย่างการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตที่ท่าเรือฉงชิ่งของจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เนื่องจากมีความต้องการขนส่งสินค้าสูงมาก แต่ระยะเวลาขนส่งก็ยังยาวนานมากขึ้น เรายังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อจะจัดการรับมือกับทุกๆปัญหาและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น” เอลแบรนด์กล่าว

จูดาห์ เลอวีน (Judah Levine) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัท Freightos กล่าวว่า ในเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา  ผู้ให้บริการเรือสินค้า ยังสามารถนำเรือบรรทุกสินค้าที่ยังว่างอยู่ หรือเรือจากเส้นทางอื่นๆมาช่วยขนส่งสินค้าในเส้นทางที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานมากขึ้น และเพื่อให้การลำเลียงขนส่งตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ดำเนินเป็นได้ตามตารางที่กำหนดไว้ แต่นั่นก็หมายความว่า ทุกสิ่งถูกนำมาใช้จนไม่มีเหลือ “กำลังส่วนเกิน” หรือ excess capacity สำหรับใช้ในกรณีที่จำเป็น หรือในยามที่ความต้องการขนส่งสินค้าทางเรือเพิ่มสูง

ความไม่สมดุลเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะที่มีความต้องการขนส่งสินค้าสูงมาก แต่ระยะเวลาขนส่งก็ยังยาวนานมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ย่ำแย่ในเอเชียตะวันออกเมื่อปลายเดือนเมษายน ก็ทำให้เกิดความล่าช้าเพิ่มเติม ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเล จำเป็นต้องงดการแวะท่าเรือบางแห่ง หรือลดระยะเวลาที่ต้องใช้ ณ ท่าเรือปลายทาง เพื่อให้สามารถทำเวลาได้เร็วขึ้น บริษัทเดินเรือยังพยายามลดการลำเลียงตู้คอนเทนเนอร์เปล่ากลับมายังท่าเรือในจีนอีกด้วย

ความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นระหว่างความต้องการส่งออกสินค้าจากแหล่งผลิตอย่างจีนที่ยังคงเพิ่มสูง กับความสามารถของบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือที่ยังต้องลำบากลำบนกับการจัดหาตู้คอนเทนเนอร์ให้เพียงพอรองรับความต้องการขนส่ง ผลักดันให้ค่าบริการขนส่งขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ

แนวโน้มต้นทุนขนส่งสูง ส่งต่อผลกระทบถึงราคาผู้บริโภค

เลอวีนเปิดเผยว่า ในการปรับขึ้นอัตราค่าระวางเรือรอบล่าสุดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้คอนเทนเนอร์

การเพิ่มขึ้นของราคาต้นทุนการขนส่งสินค้า สุดท้ายแล้วก็จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค  ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เงินเฟ้อที่พุ่งสูงในสหรัฐในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้นมาก และในช่วงเวลานี้บรรดาผู้ให้บริการโลจิสติกส์ทั่วโลกก็ได้แจ้งเตือนลูกค้าซึ่งรวมถึงผู้ค้าปลีกรายใหญ่หลายครั้งแล้ว ถึงสถานการณ์การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับการขนส่งสินค้าทางทะเล และแนวโน้มอัตราค่าระวางที่จะเพิ่มสูง

โอเรียนท์ สตาร์ กรุ๊ป (Orient Star Group) หนึ่งในผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังลูกค้าว่า ผู้ให้บริการขนส่งกำลังเผชิญกับการขาดแคลนอุปกรณ์อย่างรุนแรงในสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากความแออัดในระยะยาว การเดินเรือตู้เปล่า ความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากการดำเนินการด้านภาษีในอเมริกาใต้ และอื่นๆ ซึ่งผลที่ตามมาคือ การจัดส่งที่ล่าช้าเป็นจำนวนมาก นำไปสู่สินค้าค้างส่ง

“เรากำลังพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อสนับสนุนให้บริษัทเดินเรือสามารถเตรียมตู้คอนเทนเนอร์เปล่ามารับสินค้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อสร้างหลักประกันล่วงหน้าว่าจะมีสมรรถนะรองรับลูกค้าอย่างเพียงพอ”

แต่นั่นก็ทำให้ผู้ให้บริการขนส่งปรับอัตราค่าบริการสูงขึ้นตามไปด้วย โดยในส่วนของโอเรียนท์ สตาร์ กรุ๊ป ที่จะเริ่มจัดเก็บอัตราใหม่ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ จะเก็บเพิ่มตู้คอนเทนเนอร์ละ 1,000 ดอลลาร์

ส่วนบริษัท เอ็มเอสซี (MSC) บริษัทขนส่งทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ประกาศอัตราใหม่ราคา 8,000 ถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต เส้นทางไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ราคาใหม่นี้มีผลแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 31 พฤษภาคม

ด้านบริษัทว่านไห่ (Wan Hai) ก็เป็นอีกบริษัทขนส่งสินค้าทางทะเลที่ประกาศว่า จะเรียกเก็บค่าระวางเรือใน "อัตราพรีเมี่ยม" ที่ลูกค้าจะมั่นใจได้ว่ามีพื้นที่บนเรือสำหรับสินค้าที่ต้องการขนส่งแน่ๆ

ในหนังสือแจ้งลูกค้าผู้ใช้บริการของบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ อาเนอร์ เลน ชิปปิ้ง (Honor Lane Shipping หรือ HLS) ระบุว่า อัตราค่าบริการที่เพิ่มสูงขึ้นมาก อาจผลักดันตลาดให้ไปสู่จุดสูงสุดใหม่ หรือ จุดนิวไฮครั้งใหม่หลังยุคโควิดแพร่ระบาด ซึ่งราคาสปอตสูงขึ้นเรื่อยๆ และความสามารถในการขนสินค้าออกจากเอเชียก็ยังตึงตัว ทำให้ HLS จำเป็นต้องเรียกเก็บค่าขนส่งจากลูกค้าในอัตราสูงเป็นพิเศษ หรือ ไดมอนด์เรต (diamond rate) ที่เคยเรียกเก็บในยุคโควิดระบาด

ทั้งนี้ HLS ระบุว่า การที่บริษัทขนส่งต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือไปอ้อมทวีปแอฟริกาเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่สุ่มเสี่ยงถูกโจมตีในทะเลแดง ส่งผลกระทบ 17% ของความสามารถในการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังเตือนว่า การยกเลิกขนส่งสินค้าหรือปล่อยให้เรือเดินทางตู้เปล่า ยิ่งจะกดดันให้กับอัตราค่าระวางเรือพุ่งสูงขึ้นไปอีก

บริษัทดรูว์รี (Drewry) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยการขนส่งสินค้าทางทะเล รายงานว่า มีการยกเลิกการเดินเรือทั้งหมด 17 ลำในเส้นทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างสัปดาห์ที่ 20 (สัปดาห์ที่ผ่านมา) ถึงสัปดาห์ที่ 24 ในปฏิทินการขนส่ง และความสามารถในการรองรับสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ก็ลดลงอย่างมากสำหรับเส้นทางที่ไปยังชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา

ข้อมูลของบริษัท HLS ชี้ว่า สถานการณ์ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์จะยังไม่ดีขึ้นในเร็ววันนี้ ตราบเท่าที่เศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงเชื่อว่า แนวโน้มด้านการขนส่งและสมรรถนะในการขนส่งสินค้าทางเรือที่ตึงตัวจะยังดำเนินต่อไปอย่างน้อยก็ตลอดช่วงเดือนมิถุนายนนี้

 

ข้อมูลอ้างอิง