รัฐมนตรีสหรัฐเตือน climate change "ต้นเหตุ" ทำเครื่องบินตกหลุมอากาศมากขึ้น

27 พ.ค. 2567 | 18:45 น.
อัพเดตล่าสุด :27 พ.ค. 2567 | 23:18 น.

รัฐมนตรีคมนาคมสหรัฐออกโรงเตือน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (climate change) เป็นหนึ่งใน "ต้นเหตุ" ที่ทำให้โลกต้องเผชิญกับสภาพอากาศปรวนแปรและเหตุการณ์เครื่องบินตกหลุมอากาศ (flight turbulence) ที่ไม่เพียงจะเกิดบ่อยครั้งมากขึ้น แต่ยังทวีความรุนแรงขึ้นด้วย

นายพีต บูติเจิจ (Pete Buttigieg) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐอเมริกา กล่าวในรายการ Face the Nation ของสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 พ.ค.) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (climate change) ซึ่งเป็นวาระสำคัญระดับโลกในช่วงเวลานี้ คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้โลกต้องเผชิญกับเหตุการณ์เครื่องบินตกหลุมอากาศ (flight turbulence) ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และเขาเชื่อว่า ปรากฎการณ์ดังกล่าวจะยังคงส่งผลกระทบต่อการเดินทางทางอากาศของคนอเมริกันต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบินในประเทศหรือเที่ยวบินระหว่างประเทศก็ตาม

ข้อคิดเห็นดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางบริบทที่มีเหตุการณ์เครื่องบินตกหลุมอากาศเพิ่มขึ้นหลายครั้งนับตั้งแต่ต้นปีมา ซึ่งสองเหตุการณ์ล่าสุดคือ กรณีสายการบินสิงค์โปร์ แอร์ไลน์ ที่เดินทางจากสนามบินลอนดอนปลายทางสนามบินชางงีประเทศสิงค์โปร์ ขอลงฉุกเฉินที่สนามบินสุวรรณภูมิหลังเผชิญสภาอากาศแปรปรวนและเครื่องบินตกหลุมอากาศระหว่างทาง ทำให้มีผู้โดยสารบาดเจ็บจำนวนมากและเสียชีวิต 1 ราย เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ เกิดเหตุคล้ายกันกับเครื่องบินของสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส (Qatar Airways) ที่กำลังมุ่งหน้าสนามบินในโดฮาสู่เมืองดับลิน เครื่องบินประสบอากาศแปรปรวนรุนแรงและตกหลุมอากาศขณะบินเหนือประเทศตุรกี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 คนเมื่อวันอาทิตย์ (26 พ.ค.)

“ข้อเท็จจริงก็คือ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้เกิดขึ้นกับเราทุกคนแล้วในแง่ของการเดินทาง และนักเดินทางชาวอเมริกันก็ยังจะได้รับผลกระทบนี้ต่อไปไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม”

นายพีต บูติเจิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐอเมริกา

“สภาพอากาศของเราเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น นโยบายของเรา เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานของเรา ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตาม”

รัฐมนตรีคมนาคมสหรัฐยังมองว่า โลกได้ประจักษ์เกี่ยวกับผลกระทบของสภาพอากาศที่ปรวนแปรรุนแรงในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่คลื่นความร้อน (heat waves) ที่ทำให้สายเคเบิ้ลของระบบการสื่อสารหลอมละลายได้ ฤดูกาลพายุเฮอริเคนที่หนักหน่วงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงสภาพอากาศที่ปรวนแปรหนักจนทำให้เกิดภาวะเครื่องบินตกหลุมอากาศมากขึ้นถึง 15%  

รายงานการศึกษาที่เผยแพร่ในเอกสารงานวิจัย Geophysical Research Letters เมื่อปีที่ผ่านมา พบว่า ระหว่างปีค.ศ.1979-2020 มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Clear Air Turbulance หรือ CAT ซึ่งเป็นภาวะกระแสลมแปรปรวนทำให้เกิดหลุมอากาศที่รุนแรงท่ามกลางอากาศที่แจ่มใส เพิ่มมากขึ้น ถี่ขึ้นถึง 55% ในเที่ยวบินที่บินผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ปรากกการณ์ลักษณะนี้ทำให้เครื่องบินเกิดการโยนตัวอย่างฉันพลันทันที จึงถือเป็นอันตรายที่มองไม่เห็นและยากที่จะตรวจจับด้วยเรดาร์

สภาพอากาศโลกที่ปรวนแปรหนัก ทำให้เกิดภาวะเครื่องบินตกหลุมอากาศมากขึ้นถึง 15%

“สภาพอากาศของเราเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น นโยบายของเรา เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานของเรา ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตาม” บูติเจิจยอมรับว่า การตกหลุมอากาศถึงขนาดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเช่นที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินของสิงคโปร์ แอร์ไลนส์ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แต่สภาพอากาศที่แปรปรวนบนท้องฟ้าก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเกิดขึ้นได้อย่าง "ไม่คาดฝัน"

เขาเรียกร้องให้มีการทบทวนและประเมินสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพราะนับวันปัญหาดังกล่าวจะเกิดถี่ขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับที่โลกเคยเผชิญมา

เส้นทางไหนที่เครื่องบินประสบหลุมอากาศได้มากที่สุด

เว็บไซต์ Turbli ซึ่งพยากรณ์การเกิดหลุมอากาศทั่วโลกโดยสร้างฐานข้อมูลจากข้อมูลพยากรณ์หลุมอากาศขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) และข้อมูลพยากรณ์เมฆพายุฝนฟ้าคะนองของกรมอุตุนิยมวิทยาสหราชอาณาจักร (UK Met Office) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดที่น่าสนใจ จากการวิเคราะห์เส้นทางการบินทั้งหมด 150,000 เส้นทาง เฉพาะเส้นทางการบินที่ดำเนินการอยู่ ณ เดือน ธ.ค. 2023 พบว่า

ด้วยการพิจารณาจากอัตรา eddy dissipation rate (edr) หรือ “การวัดความรุนแรงของหลุมอากาศ ณ จุดที่กำหนด” ซึ่งแบ่งเป็น ระดับเบา (0-20) ปานกลาง (20-40) รุนแรง (40-80) และรุนแรงมาก (80-100)

รัฐมนตรีสหรัฐเตือน climate change \"ต้นเหตุ\" ทำเครื่องบินตกหลุมอากาศมากขึ้น

มี 10 เส้นทางการบินที่ตกหลุมอากาศมากที่สุดในปี 2023 ดังนี้

  1. ซานติอาโก (SCL) – ซานตาครูซ (VVI) ระยะทาง 1905 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 17.568 edr
  2. อัลตามี (ALA) – บิชเคก (FRU) ระยะทาง 210 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 17.457 edr
  3. หลานโจว (LHW) – เฉิงตู (CTU) ระยะทาง 661 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 16.75 edr
  4. โทโคนาเมะ (NGO) – เซ็นได (SDJ) ระยะทาง 517 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 16.579 edr
  5. มิลาน (MXP) – เจนีวา (GVA) ระยะทาง 214 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 16.398 edr
  6. หลานโจว (LHW) – เซียนหยาง (XIY) ระยะทาง 519 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 16.337 edr
  7. โฮซากา (KIX) – เซ็นได (SDJ) ระยะทาง 655 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 16.307 edr
  8. เซียนหยาง (XIY) – เฉิงตู (CTU) ระยะทาง 624 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 16.25 edr
  9. เซียนหยาง (XIY) – ฉงชิ่ง (CKG) ระยะทาง 561 ความรุนแรงเฉลี่ย 16.041 edr
  10. มิลาน (MXP) – ซูริค (ZRH) ระยะทาง 203 กม. ความรุนแรงเฉลี่ย 16.016 edr

ทั้งนี้ การเดินทางระหว่างเมืองซานติเอโก ประเทศชิลี และสนามบินนานาชาติวิรูวิรูในโบลิเวีย มีหลุมอากาศมากที่สุด ตามด้วยเส้นทางระหว่างเมืองอัลมาตีในคาซัคสถาน และเมืองบิชเคก เมืองหลวงของคีร์กีซสถาน

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า ใน 10 อันดับแรกของเส้นทางที่ประสบหลุมอากาศได้มากที่สุด มีถึง 6 เส้นทางที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย คือเส้นทางบินภายในประเทศของญี่ปุ่นและจีน 

นายอิกนาชิโอ กัลเลโก มาร์กอส ผู้ก่อตั้ง Turbli อธิบายว่า เส้นทางที่บินผ่านเหนือเทือกเขา เช่น เทือกเขาแอนดีส และเทือกเขาแอลป์ มีโอกาสที่จะพบหลุมอากาศได้มาก เช่นเส้นทางมิลาน-เจนีวา ส่วนเส้นทางในประเทศญี่ปุ่นและจีนนั้น มีโอกาสที่สภาพอากาศจะแปรปรวนได้มาก เนื่องจากมีกระแสลมกรด หรือกระแสเจ็ตสตรีม (Jet Stream) ซึ่งเป็นกระแสลมที่พัดจากด้านตะวันตกไปตะวันออกตามแนวการหมุนของโลก และพัดโค้งไปมาคล้ายแม่น้ำจากละติจูดสูงไปละติจูดต่ำ หากเครื่องบินบินเข้าใกล้แนวลมกรดจะพบกับสภาพอากาศที่ปั่นป่วนทั้งในแนวตั้งและแนวนอนและมีลมเฉือนในระดับความเร็วลมที่รุนแรง

ข้อมูลอ้างอิง