จากมีกระแสข่าวลือบนโลกออนไลน์ของจีนว่า ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีน เกิดอาการหลอดเลือดในสมองตีบ หรือ Stroke ระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 3 โดยระบุนางเจนนิเฟอร์ จาง นักข่าวสายสิทธิมนุษยชน เป็นต้นทางของข่าวลือในครั้งนี้ ขณะที่สื่อหลักของจีน และสื่อหลักต่างประเทศยังไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด สร้างความสงสัยไปทั่วโลก และอยากรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น
รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (18 ก.ค. 2567) ความว่า "สอบถามกันมาเยอะจัง ตั้งแต่เมื่อวาน ไป recheck ให้แล้ว ถ้ามีข้อเท็จจริง จะโพสต์ให้ทราบนะคะ"
และขยายความว่า "นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องทำนองนี้ และต้นทางข่าวลือนี้คือ เจนนิเฟอร์ จาง (ว่ากันว่า เป็นสาวกฝ่าหลุนกง) ซึ่งเธอคนนี้คือคนเดียวกับคนที่เคยปล่อยข่าวลือเรื่องรัฐประหารสี จิ้นผิง ซึ่งลวงคนได้เกือบทั้งโลกเมื่อปี 2565"
สำหรับ กระแสข่าวสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ป่วยมีอาการหลอดเลือดตีบ (Stroke) ระหว่างการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 ที่เขาได้เป็นประธานการประชุม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
อย่างไรก็ดีในปี 2565 ก็เคยเกิดข่าวลือว่าสี จิ้นผิงถูกรัฐประหารยึดอำนาจ หลังจากเขาหายหน้าไปจากสาธารณะระยะหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด
สำหรับนางเจนนิเฟอร์ จาง นักข่าวสายสิทธิมนุษยชน ที่เป็นต้นกำเนิดของข่าวลือในครั้งนี้ ได้โพสต์วิดีโอบนยูทูบ โดยอ้างคำพูดของนายจางหมิง ศาสตราจารย์ และหัวหน้างานระดับปริญญาเอก ของคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน โดยโพสต์ข้อความว่า “มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น” โดยไม่ขยายความต่อแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังได้อ้างรายงานของนายซู เสี่ยวโหว นักข่าวชาวจีน ซึ่งมีผู้ติดตามบนยูทูบ 1.79 แสนคน ว่า จู่ ๆ สี จิ้นผิงก็เกิดอาการหลอดเลือดสมองตีบขณะร่วมประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที โดยเธออ้างว่า มีผู้ใช้งานยูทูบคนอื่น ๆ ก็รายงานข่าวไปในทำนองเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นางจาง ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยรายงานข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงมาแล้ว เช่น เรื่องการรัฐประหาร และการจับกุมตัวสี จิ้นผิง สอดคล้องกับที่รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ได้ออกมาโพสต์ข้อความข้างต้น