"สงครามตะวันออกกลาง" เดือด "ราคาน้ำมันพุ่ง" สะเทือนเศรษฐกิจโลก

25 ก.ย. 2567 | 09:00 น.
อัพเดตล่าสุด :25 ก.ย. 2567 | 09:10 น.

ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างฮามาสและอิสราเอลขยายวงกว้าง ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก กระทบทั้งการผลิตและเส้นทางขนส่งน้ำมัน สถานการณ์นี้ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นโดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ และเสี่ยงลุกลามไปสู่การขัดแย้งระดับภูมิภาค

สงครามตะวันออกกลางที่เริ่มปะทุขึ้นในเดือนกันยายน 2567 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักทั้งในด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ ซึ่งในตะวันออกกลางขณะนี้ สงครามที่รุนแรงคือความขัดแย้งระหว่าง "กลุ่มฮามาส" และ "อิสราเอล" ซึ่งเริ่มจากการปะทะรุนแรงระหว่างกลุ่มติดอาวุธฮามาสที่ปกครองฉนวนกาซา และกองทัพอิสราเอลที่โจมตีเพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยจรวดจากฮามาส ความขัดแย้งนี้ได้ขยายตัวเป็นการต่อสู้ในวงกว้าง ส่งผลกระทบทั้งต่อประชากรในฉนวนกาซาและพื้นที่ของอิสราเอลเอง

สงครามนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับ "กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah)" ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านและมีอิทธิพลในเลบานอน ฮิซบอลเลาะห์ได้มีส่วนร่วมในการโจมตีอิสราเอลจากเลบานอน ทำให้ความขัดแย้งขยายตัวจากฉนวนกาซาไปยังเลบานอน นอกจากนี้ อิหร่านยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนฮามาส ทำให้ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น

โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขฉนวนกาซาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40,000 ราย และบาดเจ็บกว่า 92,000 รายในฉนวนกาซา เช่นเดียวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลเช่นกัน ความขัดแย้งในวงกว้างขึ้นในตะวันออกกลาง ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 550 รายและบาดเจ็บประมาณ 1,850 รายในเลบานอน

เครดิตภาพ Reuters

การโจมตีและการปะทะในสงครามตะวันออกกลางยังเป็นเหตุให้ผู้คนนับพันต้องหนีออกจากถิ่นอาศัย ในขณะที่ความขัดแย้งดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกองทัพอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารทางอากาศและบนพื้นดินเพื่อสู้รบกับฮามาส ซึ่งส่งผลให้เมืองและหมู่บ้านในพื้นที่รอบกาซาถูกทำลายเป็นวงกว้าง

สถานการณ์สงครามตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นและขยายวงกว้างกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 8% ในช่วงสองสัปดาห์หลังจากเกิดสงคราม ความกังวลเกี่ยวกับการขัดขวางเส้นทางการขนส่งน้ำมันในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะที่ช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันประมาณ 15% ของโลก อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนอุปทานและดันราคาให้สูงขึ้นต่อเนื่อง

เครดิตภาพ Reuters

ในอิสราเอล กองทัพอากาศได้ทำการโจมตีหลายครั้งในฉนวนกาซา เพื่อตอบโต้การยิงจรวดจากฮามาสที่มีเป้าหมายโจมตีพื้นที่ชุมชนพลเรือนของอิสราเอล การยิงจรวดดังกล่าวได้สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินในหลายเมืองของอิสราเอล โดยเฉพาะในเขตที่ใกล้กับกาซา การโจมตีนี้เป็นผลพวงจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เมื่อฮามาสเริ่มปฏิบัติการโจมตีอิสราเอล ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียจำนวนมากในช่วงนั้น

การปะทะนี้ยังเพิ่มความตึงเครียดในตะวันออกกลางโดยเฉพาะการเข้ามามีส่วนร่วมของประเทศที่สนับสนุนฝ่ายต่างๆ เช่น อิหร่านที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่ฮามาส แม้อิหร่านจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการโจมตีในครั้งนี้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้น

เครดิตภาพ Reuters

ในด้านเศรษฐกิจ ความขัดแย้งนี้ได้กระทบต่อการผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง และทำให้ตลาดน้ำมันทั่วโลกต้องปรับตัวอย่างหนัก ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นถึง 2% ในช่วงสัปดาห์หลังสงครามเริ่มปะทุ โดยล่าสุดมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80.17 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่น้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯ ปรับขึ้นเป็น 77.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นักวิเคราะห์เชื่อว่าหากสงครามยังคงยืดเยื้อต่อไป เราอาจได้เห็นราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง

ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์จากหลายองค์กรคาดการณ์ว่า หากอิหร่านถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้งอย่างเต็มตัว เราอาจได้เห็นการขัดขวางเส้นทางขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งอาจกระทบต่อการขนส่งน้ำมันทั่วโลกอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 12.9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2566 อาจช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากสงครามได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมราคาน้ำมันได้ทั้งหมดในตลาดโลก

เครดิตภาพ Reuters

สงครามครั้งนี้ไม่เพียงกระทบเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้เกิดความวิตกกังวลในระดับนานาชาติว่าความขัดแย้งนี้อาจลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง และอาจส่งผลกระทบต่อการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับโลกต่อไป

 

อ้างอิง: