นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เผชิญวิกฤตคลื่นความร้อนรุนแรงในช่วงต้นเดือนตุลาคม โดยอุณหภูมิพุ่งสูงถึง 34.4 องศาเซลเซียสตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 และยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งบางพื้นที่อาจร้อนทะลุถึง 37.8 องศาเซลเซียส สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยเรื้อรัง
เพื่อบรรเทาผลกระทบ ทางการซานฟรานซิสโกได้สั่งเปิดศูนย์ทำความเย็นหลายแห่ง และจัดบริการสระว่ายน้ำรวมถึงเรือโดยสารข้ามฟากฟรี ให้ประชาชนสามารถพักผ่อนและหลีกเลี่ยงคลื่นความร้อนได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ ยังมีการแจกจ่ายน้ำดื่มและส่งทีมเจ้าหน้าที่สำรวจสภาพความเป็นอยู่ของคนไร้บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิสูง
การเกิดคลื่นความร้อนในซานฟรานซิสโกครั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์ที่หายาก เนื่องจากปกติเดือนตุลาคมจะมีอากาศเย็นสบาย อย่างไรก็ตาม นักอุตุนิยมวิทยาเผยว่า สภาพอากาศในภูมิภาคนี้มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นโดยเฉพาะในเมืองชายฝั่ง
ด้วยอุณหภูมิที่เกิน 35 องศาเซลเซียสในบางพื้นที่ ส่งผลให้มีผู้ป่วยโรคลมแดดเพิ่มมากขึ้น ทางการจึงเตือนประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงให้หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัด และควรใช้บริการศูนย์ทำความเย็นเพื่อพักผ่อน สถาบันสุขภาพท้องถิ่นยังออกประกาศเตือนให้ระวังโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน เช่น โรคลมแดด การขาดน้ำ และภาวะหัวใจที่กำเริบจากความร้อนสูง
นอกจากนี้ คลื่นความร้อนยังทำให้อากาศแห้งและเกิดลมแรง ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเกิดไฟป่าในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะในแถบภูเขาของเมือง ทำให้ทางการต้องเตรียมแผนรับมืออย่างเร่งด่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์ไฟป่าที่อาจเกิดขึ้น
คลื่นความร้อนนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างมาก หลายธุรกิจต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหายจากอากาศร้อนจัด ขณะเดียวกัน ความร้อนยังทำให้อุณหภูมิในเมืองใกล้เคียงอย่างซานตาโรซาพุ่งขึ้นถึง 38.9 องศาเซลเซียส ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ
นักวิจัยชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สภาพอากาศในภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงไป โดยคาดว่าซานฟรานซิสโกจะต้องเผชิญกับวันที่อุณหภูมิสูงเกิน 35 องศาเซลเซียสมากขึ้นในอนาคต ทำให้ทางการต้องเริ่มวางแผนรับมือในระยะยาว
อ้างอิง: