สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย กองเชียร์ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เป็นฝ่ายได้เฮลั่น
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมา ทรัมป์ วัย 78 ปี ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral college) ถึง 270 คะแนนก่อน เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โค่นกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี
การคว้าชัยชนะอีกครั้งในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของทรัมป์ ถูกจับตาส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองในสหรัฐฯ และทั่วโลก
นี่คือการกลับมาสู่ทำเนียบขาวครั้งที่สองของเขา หลังจากพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2020 ให้แก่โจ ไบเดน การกลับมาครั้งนี้สร้างความประหลาดใจและการคาดการณ์ถึงแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ
พรรครีพับลิกันชนะการควบคุมวุฒิสภาสหรัฐได้สำเร็จและยึดสภาคืนได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทำให้พรรครีพับลิกันมีศูนย์กลางอำนาจสำคัญในกรุงวอชิงตัน และมีบทบาทนำในการยืนยันคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีคนต่อไป รวมถึงผู้พิพากษาศาลฎีกาหากมีตำแหน่งว่าง
อย่างก็ตาม การควบคุมสภาผู้แทนราษฎรยังคงเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกัน เพราะยังมีการแข่งขันอีกกว่า 100 รายการที่ยังต้องประกาศ
ชัยชนะครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเมืองของสหรัฐฯ โดยทรัมป์ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูประบบเศรษฐกิจและความมั่นคงภายในประเทศ ทรัมป์คาดว่าจะผลักดันนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภายในและลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบกับพันธมิตรสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
นโยบายการปฏิรูปด้านการย้ายถิ่นฐานเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ทรัมป์ประกาศว่าจะควบคุมการเข้ามาของผู้อพยพและแรงงานต่างชาติอย่างเข้มงวด เพื่อให้สหรัฐฯ ปลอดภัยยิ่งขึ้นและสร้างโอกาสให้แก่ประชาชนในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะลดอิทธิพลของจีนต่อเศรษฐกิจโลกและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น
ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะปรับลดภาษีและกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงการส่งเสริมการผลิตในประเทศ เขายังเน้นย้ำถึงการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ นโยบายเหล่านี้มีผลกระทบในวงกว้างกับเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีนอาจทำให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ ในขณะที่ทรัมป์อาจพยายามสานต่อความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญเช่นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เพื่อสร้างแนวป้องกันและลดบทบาทของจีนในเศรษฐกิจโลก
ชัยชนะของทรัมป์ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางความเชื่อและมุมมองทางการเมืองในสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนเขามองว่าเขาคือผู้นำที่สามารถฟื้นฟูและพัฒนาสหรัฐฯ กลุ่มผู้คัดค้านกลับมีความกังวลเกี่ยวกับการแบ่งแยกทางสังคมและนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มชนกลุ่มน้อย
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของสหรัฐฯ ในอนาคต
ทรัมป์ มีชื่อเต็มว่า โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ (Donald John Trump) อดีตประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา
เกิดวันที่ 14 มิถุนายน 1946 เป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้องทั้งหมด 5 คน บิดาคือ เฟรดเดอริก คริสต์ ทรัมป์ (Frederick Christ Trump) ประสบความสำเร็จอย่างมากกับกิจการอสังหาริมทรัพย์สำหรับชนชั้นกลาง มารดาคือแมรี่ แอนน์ แมคลีโอด ทรัมป์ (Mary Anne MacLeod Trump)
วัย 13 ปี ถูกส่งไปปลูกฝังวินัยที่โรงเรียนทหารนิวยอร์ก (New York Military Academy) ก่อนที่ทรัมป์เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม (Fordham University) และย้ายไปเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน (Wharton School) ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียจนสำเร็จการศึกษาในปี 1968
ทรัมป์ยื่นผ่อนผันการเกณฑ์ทหารเนื่องจากติดเรียนและป่วยเป็นโรคกระดูกงอก (Bone Spurs) ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ เมื่อสหรัฐเปลี่ยนระบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสุ่มตามวันเกิดในภายหลัง ลำดับวันเกิดของทรัมป์ก็ถูกเรียกเป็นคิวที่ 356 จาก 366 เขาจึงไม่ถูกเกณฑ์ไปรับใช้ชาติ
เมื่อจบการศึกษา ทรัมป์กลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวที่นิวยอร์ก และสืบทอดกิจการเต็มตัว
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกล่าวหาบริษัทของทรัมป์มีการเลือกปฏิบัติไม่อนุญาตให้ชาวแอฟริกันอเมริกันเช่าอาศัย
ทรัมป์ขยายธุรกิจออกไปยังมลรัฐต่าง ๆ มากขึ้น และตั้งสำนักงานทรัมป์ ทาวเวอร์ (Trump Tower) บนถนนฟิฟธ์อเวนิว (Fifth Avenue) เขตแมนฮัตตัน และขยายธุรกิจเพิ่ม ได้แก่ โรงแรม รีสอร์ต ที่พักอาศัย กาสิโน อาคารพาณิชย์ และสนามกอล์ฟ
ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเครือโรงแรมไฮแอทและอิทธิพลทางการเมืองของพ่อซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตแห่งบรูคลิน เพื่อเจรจาข้อตกลงกับรัฐบาลนครนิวยอร์ก เขาได้รับการลดหย่อนภาษีเป็นเวลา 40 ปี และนำข้อเสนอไปเจรจาซื้อคอมโมโดร์ โฮเทล (Commodore Hotel) จากเพนน์ เซ็นทรัล เรลโรดที่กำลังล้มละลาย (Penn Central Railroad)
ทรัมป์ยังออกหนังสือให้คำแนะนำทางธุรกิจ เป็นเจ้าของสิทธิเวทีประกวดนางงามจักรวาล, นางงามสหรัฐ และมิสทีนยูเอสเอ ตั้งแต่ปี 1996 ถึงปี 2015 อีกด้วย
ทรัมป์ขยายบทบาทของตัวเองในอุตสาหกรรมบันเทิงด้วยรายการทีวี ดิ แอพเพรนทิซ (The Apprentice) ซึ่งเขาเป็นพิธีกรและให้ผู้เข้าร่วมรายการแข่งขันกันแย่งชิงสัญญาจ้างงานในเครือธุรกิจของเขา
ในปี 2020 สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ทรัมป์หลบเลี่ยงภาษี ปกปิดข้อมูลภาษีและการขาดทุนอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ
ทรัมป์แข่งขันแย่งสิทธิในการเป็นตัวแทนพรรคชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีมาก่อนหลายครั้ง ภายใต้สังกัดพรรคปฏิรูป (Reform Party) และสังกัดพรรครีพับลิกัน
ทรัมป์ได้รับคะแนนนิยม และคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 มาครองได้สำเร็จ