"สีจิ้นผิง" ประธานาธิบดีจีนได้ส่งสารแสดงความยินดีไปยัง "โดนัลด์ ทรัมป์" หลังชนะการเลือกตั้งสหรัฐ 2024 และกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้ง การแสดงความยินดีนี้มาพร้อมกับการเรียกร้องให้ทั้งสองชาติมองหาวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงในยุคใหม่ โดยเน้นถึงประโยชน์ร่วมของทั้งสองประเทศและความสำคัญในเวทีโลก
"ประวัติศาสตร์ได้สอนให้เราเห็นว่า การร่วมมือกันนำมาซึ่งผลประโยชน์ ในขณะที่การเผชิญหน้าและขัดแย้งนำไปสู่การสูญเสีย" สีจิ้นผิงกล่าว โดยย้ำถึงความสำคัญของการเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์แก่กันทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม การยอมรับนี้มาพร้อมกับความท้าทายที่จีนต้องเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อนโยบายเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความเข้มงวดขึ้น โดยทรัมป์ได้เคยประกาศว่าจะกำหนดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 60% ซึ่งสูงกว่าระดับ 7.5%-25% ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการดำรงตำแหน่งก่อนหน้า และในครั้งนี้ เศรษฐกิจจีนกำลังตกอยู่ในภาวะที่อ่อนแอกว่าที่เคย
ในอดีต จีนสามารถพึ่งพาตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจถึง 1 ใน 4 ได้ แต่ในปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนประสบปัญหาหนัก และนำไปสู่หนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นในภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลท้องถิ่นที่พึ่งพาการประมูลที่ดินเพื่อเป็นรายได้หลัก ซึ่งในขณะนี้ถูกกดดันอย่างมาก
นอกจากปัญหาหนี้สินแล้ว ความต้องการในประเทศของจีนยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากรายได้และเงินบำนาญที่ต่ำ รวมถึงอัตราว่างงานในกลุ่มเยาวชนที่สูง ทำให้การบริโภคภายในประเทศยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนผู้บริโภค แต่ก็ต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก
นอกจากนี้ จีนยังเผชิญกับปัญหาภาวะเงินฝืดที่เกิดจากภาคการผลิต ซึ่งรัฐบาลพยายามลดความพึ่งพาตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเปลี่ยนทรัพยากรไปยังภาคการผลิตแทน แต่กลับนำมาซึ่งการเกินความสามารถในการผลิตของอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการตั้งภาษีของหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และตุรกี
ผลกระทบจากภาวะเงินฝืดทำให้ราคาสินค้าภายในจีนลดลงต่อเนื่อง ซึ่งหากภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลต่อความต้องการสินค้าจากจีนมากขึ้น อาจยิ่งซ้ำเติมปัญหาภาวะเงินฝืดนี้ ทำให้การบริโภคในประเทศและการเติบโตของธุรกิจหยุดชะงัก
อีกหนึ่งข้อจำกัดสำคัญคือจีนไม่สามารถใช้วิธีลดค่าเงินหยวนเพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษีได้อย่างที่เคยทำในอดีต ในปี 2562 ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงประมาณ 10% เทียบกับดอลลาร์ ซึ่งช่วยลดผลกระทบของภาษีได้ในระดับหนึ่ง แต่หากต้องเผชิญกับภาษีที่สูงถึง 60% ค่าเงินหยวนจะต้องอ่อนค่าลงถึง 18% เทียบกับดอลลาร์ ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและอาจทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากประเทศ
ทั้งนี้ จีนยังไม่สามารถพึ่งพาตลาดต่างประเทศได้เต็มที่ แม้ว่าจีนจะสามารถเพิ่มยอดขายในสินค้ากลุ่มที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง เช่น แบตเตอรี่และพลังงานทดแทน แต่ก็มีข้อจำกัดทางด้านความต้องการจากภายนอก ซึ่งจีนไม่สามารถควบคุมได้
ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ อาจเผชิญกับความท้าทายใหม่ในยุคที่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่ง สีจิ้นผิงและทรัมป์ต่างมองเห็นความสำคัญของการพูดคุยและความร่วมมือเพื่อสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จีนจะต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงขึ้นจากภาษีที่เข้มงวดของสหรัฐฯ