จับตาเทรนด์ปี 68 นโยบายทรัมป์ 2.0 ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ พลิกดุลการค้าโลก

07 ม.ค. 2568 | 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ม.ค. 2568 | 04:05 น.

“ทรัมป์ 2.0” กับทิศทางของโลกที่เปลี่ยนแปลง ชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” อาจนำมาซึ่งความผันผวนในเศรษฐกิจโลกและการจัดระเบียบภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหม่

การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ในปี 2568 ถือเป็นการเปิดฉากของยุคใหม่แห่งความไม่แน่นอนทั้งในด้านการเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลก การยึดมั่นในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อพันธมิตรเก่าและคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก การตัดสินใจด้านนโยบายที่เน้นผลประโยชน์ของอเมริกาโดยตรง อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขัดแย้งรุนแรงขึ้น และสร้างความตึงเครียดที่อาจลุกลามไปถึงระดับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

การบริหารงานของทรัมป์ในปีแรกจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายมากที่สุดตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์ โดยจีนในยุคนี้ แม้จะมีปัญหาเศรษฐกิจภายใน แต่ก็แสดงท่าทีที่ดุดันมากขึ้นในเวทีโลก ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้จะเป็นบททดสอบสำคัญ หากทรัมป์เลือกที่จะสนับสนุนฟิลิปปินส์ในการเผชิญหน้ากับจีน สถานการณ์อาจนำไปสู่การปะทะที่ยากจะควบคุม

นอกจากจีนแล้ว กลุ่มอำนาจอธิปไตยอย่าง รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ ทรัมป์อาจพยายามใช้การทูตแบบแข็งกร้าวเพื่อบรรลุเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเจรจาอย่างฉับไว เช่น การยุติสงครามในยูเครนภายใน "วันเดียว" ตามที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ อาจกลายเป็นจุดอ่อนหากผลลัพธ์ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรยุโรป

ด้านเศรษฐกิจโลก นโยบายภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศในช่วงหาเสียง เช่น การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 60% หรือจากเม็กซิโก 100% อาจทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก การค้าระหว่างประเทศที่ซบเซาในยุคแรกของทรัมป์ อาจยิ่งทวีความรุนแรงหากเกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบอีกครั้ง ซึ่งนโยบายนี้ได้รับการวิจารณ์อย่างหนักจากนักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายว่า อาจผลักดันเงินเฟ้อและทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย

สำหรับการเมืองภายในประเทศ ทรัมป์มีแผนที่จะลดภาษีครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยมูลค่าการลดภาษีรวมกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่จะเพิ่มภาระทางการคลังอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างระบบราชการและการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และชีววิทยาศาสตร์ ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของอเมริกา

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองคือบทบาทของ อีลอน มัสก์ ซึ่งได้รับมอบหมายจากทรัมป์ให้มีบทบาทสำคัญในการปรับโครงสร้างรัฐบาลและเร่งพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี การขยายขอบเขตของ AI ในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ อาจช่วยให้อเมริกายังคงเป็นผู้นำในเวทีโลก อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะลดงบประมาณรัฐบาลกลางถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ของมัสก์ อาจเผชิญกับเสียงคัดค้านจากรัฐสภาและหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบ

ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในตะวันออกกลาง ทรัมป์อาจพยายามผลักดันการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส ซึ่งเป็นสิ่งที่ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลอาจให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น การก้าวสู่การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ ยังคงเป็นเรื่องที่ทรัมป์อาจไม่ให้ความสำคัญ

สำหรับอิหร่าน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังจากอิหร่านถูกกล่าวหาว่าวางแผนลอบสังหารทรัมป์ในอดีต แม้ทรัมป์อาจพยายามใช้มาตรการคว่ำบาตรแบบ "กดดันขั้นสูงสุด" เช่นเดียวกับในสมัยแรก แต่ความสามารถของอิหร่านในการปรับตัว เช่น การขายน้ำมันผ่านเครือข่ายใต้ดินไปยังจีน อาจลดทอนผลกระทบของมาตรการดังกล่าว

ผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์โลกในยุคทรัมป์ 2.0 ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่ความสามารถในการบริหารประเทศของทรัมป์ ไปจนถึงความพร้อมของพันธมิตรในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเป็นจุดศูนย์กลางของการเมืองโลกในยุคนี้ หากทรัมป์เลือกที่จะดำเนินนโยบายแยกขาดจากจีนในวงกว้าง ความตึงเครียดอาจเพิ่มสูงขึ้นจนอาจนำไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่ในเวทีโลก

ท้ายที่สุด การกลับมาของทรัมป์ในปี 2568 เป็นเหมือนบททดสอบสำคัญว่าความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในยุคแห่งความขัดแย้งจะดำเนินไปในทิศทางใด และโลกจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

 

อ้างอิง: Economist, Economist, Economist, Nikkei Asia