โลกจับตาเกมโต้กลับ "ภาษีทรัมป์" ประเทศพันธมิตรไม่ยอมอยู่เฉย

03 เม.ย. 2568 | 06:21 น.
อัปเดตล่าสุด :03 เม.ย. 2568 | 06:21 น.

ทรัมป์งัดไม้แข็ง ประกาศภาษีชุดใหม่สะเทือนเศรษฐกิจโลก จับตามาตรการตอบโต้และอนาคตของการค้า ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ เตรียมตอบโต้กลับอย่างไร?

มาตรการภาษีใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนความขัดแย้งทางการค้าอีกครั้ง ทำให้หลายประเทศต้องเร่งพิจารณาแนวทางตอบโต้เพื่อปกป้องเศรษฐกิจของตนเอง การตัดสินใจของทรัมป์ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อจีน แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงสหภาพยุโรป (EU), แคนาดา, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ขณะที่สหรัฐฯ ยืนยันว่ามาตรการเหล่านี้จำเป็นต่อการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์กลับเตือนว่า การตอบโต้จากประเทศคู่ค้าอาจนำไปสู่สงครามการค้าครั้งใหม่ที่อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกในระดับมหาศาล

การใช้มาตรการภาษีของทรัมป์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปในสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ทรัมป์เคยใช้นโยบายภาษีเชิงรุกเพื่อเจรจาการค้ากับจีน และบังคับให้พันธมิตรต้องยอมอ่อนข้อให้กับสหรัฐฯ แต่มาตรการในครั้งนี้เกิดขึ้นในบริบทที่แตกต่างออกไป

 

"อเมริกาต้องมาก่อน" ภาค 2

ทรัมป์ยังคงใช้แนวทางชาตินิยมทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการลดการพึ่งพาต่างประเทศ และกระตุ้นให้บริษัทอเมริกันหันกลับมาผลิตสินค้าในประเทศ แต่นั่นหมายความว่า ต้นทุนสินค้าจะสูงขึ้น ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายเงินแพงขึ้น และธุรกิจสหรัฐฯ อาจต้องรับภาระมากขึ้นกว่าที่คิด

นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการภาษีชุดใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์หาเสียงในการเลือกตั้งปี 2024 ซึ่งมุ่งเจาะกลุ่มฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ในรัฐอุตสาหกรรม เช่น เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน โดยแสดงให้เห็นว่าทรัมป์กำลัง "ปกป้อง" งานในภาคการผลิตจากการแข่งขันของต่างประเทศ

 

สงครามการค้าเวอร์ชันใหม่?

ทรัมป์เคยทำสงครามการค้ากับจีนมาแล้ว แต่ครั้งนี้อาจรุนแรงกว่าเดิม เพราะภาษีใหม่เล่นงานประเทศพันธมิตรพร้อมกันหลายชาติ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ในระบบเศรษฐกิจโลก

ประเทศคู่ค้าเตรียมโต้กลับอย่างไร?

  • EU ไม่ปล่อยให้สหรัฐฯ ควบคุมเกมเพียงฝ่ายเดียว

สหภาพยุโรปเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาษีชุดใหม่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า EU จะใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงไม่แพ้กัน เช่น

  • การเก็บภาษีสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ยานยนต์ และสินค้าอุตสาหกรรม
  • การยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO)
  • การเร่งหาพันธมิตรทางการค้ารายใหม่ โดยเฉพาะในเอเชียและละตินอเมริกา

 

  • แคนาดาพร้อมตอบโต้ด้วยกำแพงภาษี

แคนาดาเคยใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (retaliatory tariffs) กับสหรัฐฯ ในช่วงที่ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในปี 2018 และมีแนวโน้มว่าจะใช้กลยุทธ์เดียวกันอีกครั้ง เช่น

  • การเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ที่เป็นจุดอ่อน เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเทคโนโลยี
  • การกระชับความร่วมมือกับ EU และเอเชีย เพื่อกระจายตลาดส่งออก

เอเชียไม่ยอมเป็นหมากในเกมของทรัมป์

จีนตอบโต้ภาษีของทรัมป์โดยออกแถลงการณ์คัดค้านอย่างเป็นทางการและเตือนว่านโยบายดังกล่าวจะกระทบเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน จีนยังพิจารณามาตรการตอบโต้ เช่น ควบคุมเสถียรภาพของเงินหยวน ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงอาจเพิ่มแรงกดดันต่อบริษัทอเมริกันที่ดำเนินธุรกิจในจีน

อย่างไรก็ตาม จีนยังไม่รีบตอบโต้ด้วยภาษีทันที แต่เลือกใช้กลยุทธ์ระยะยาว เช่น กระตุ้นตลาดภายในประเทศและสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับพันธมิตรใหม่ แนวทางนี้สะท้อนให้เห็นว่าจีนมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณเตือนสหรัฐฯ ว่าการเผชิญหน้าทางการค้าอาจนำไปสู่ผลเสียที่รุนแรงขึ้นในอนาคต

ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันให้เลือกข้าง ทว่าทั้งสองประเทศอาจไม่ยอมอยู่เฉย

  • ญี่ปุ่นอาจใช้มาตรการกดดันทางการค้า เช่น การตั้งกำแพงภาษีสินค้าอเมริกันบางรายการ
  • เกาหลีใต้อาจเลือกขยายความร่วมมือกับจีน และเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังยุโรป

อินเดีย ซึ่งเคยเป็นเป้าหมายภาษีของทรัมป์มาก่อน อาจตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าอเมริกันที่มีมูลค่าสูง เช่น อุปกรณ์เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

 

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจส่งผลกระทบในหลายมิติ:

  • ตลาดหุ้นผันผวน: นักลงทุนอาจเทขายหุ้นในตลาดสหรัฐฯ หากเห็นความไม่แน่นอนทางการค้า
  • ภาคอุตสาหกรรมแบกรับต้นทุนเพิ่ม: บริษัทที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น
  • ผู้บริโภครับผลกระทบ: ราคาสินค้าอาจเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น

 

ภาษีทรัมป์อาจย้อนกลับมาทำร้ายเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง

แม้ว่าทรัมป์จะเชื่อว่าภาษีเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายเตือนว่า การตอบโต้จากประเทศคู่ค้าอาจทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญผลกระทบที่หนักกว่าที่คาด