มาตรการภาษีใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนความขัดแย้งทางการค้าอีกครั้ง ทำให้หลายประเทศต้องเร่งพิจารณาแนวทางตอบโต้เพื่อปกป้องเศรษฐกิจของตนเอง การตัดสินใจของทรัมป์ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อจีน แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงสหภาพยุโรป (EU), แคนาดา, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ขณะที่สหรัฐฯ ยืนยันว่ามาตรการเหล่านี้จำเป็นต่อการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์กลับเตือนว่า การตอบโต้จากประเทศคู่ค้าอาจนำไปสู่สงครามการค้าครั้งใหม่ที่อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกในระดับมหาศาล
การใช้มาตรการภาษีของทรัมป์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปในสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ทรัมป์เคยใช้นโยบายภาษีเชิงรุกเพื่อเจรจาการค้ากับจีน และบังคับให้พันธมิตรต้องยอมอ่อนข้อให้กับสหรัฐฯ แต่มาตรการในครั้งนี้เกิดขึ้นในบริบทที่แตกต่างออกไป
ทรัมป์ยังคงใช้แนวทางชาตินิยมทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการลดการพึ่งพาต่างประเทศ และกระตุ้นให้บริษัทอเมริกันหันกลับมาผลิตสินค้าในประเทศ แต่นั่นหมายความว่า ต้นทุนสินค้าจะสูงขึ้น ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายเงินแพงขึ้น และธุรกิจสหรัฐฯ อาจต้องรับภาระมากขึ้นกว่าที่คิด
นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการภาษีชุดใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์หาเสียงในการเลือกตั้งปี 2024 ซึ่งมุ่งเจาะกลุ่มฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ในรัฐอุตสาหกรรม เช่น เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน โดยแสดงให้เห็นว่าทรัมป์กำลัง "ปกป้อง" งานในภาคการผลิตจากการแข่งขันของต่างประเทศ
ทรัมป์เคยทำสงครามการค้ากับจีนมาแล้ว แต่ครั้งนี้อาจรุนแรงกว่าเดิม เพราะภาษีใหม่เล่นงานประเทศพันธมิตรพร้อมกันหลายชาติ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ในระบบเศรษฐกิจโลก
สหภาพยุโรปเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาษีชุดใหม่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า EU จะใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงไม่แพ้กัน เช่น
แคนาดาเคยใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (retaliatory tariffs) กับสหรัฐฯ ในช่วงที่ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในปี 2018 และมีแนวโน้มว่าจะใช้กลยุทธ์เดียวกันอีกครั้ง เช่น
จีนตอบโต้ภาษีของทรัมป์โดยออกแถลงการณ์คัดค้านอย่างเป็นทางการและเตือนว่านโยบายดังกล่าวจะกระทบเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน จีนยังพิจารณามาตรการตอบโต้ เช่น ควบคุมเสถียรภาพของเงินหยวน ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงอาจเพิ่มแรงกดดันต่อบริษัทอเมริกันที่ดำเนินธุรกิจในจีน
อย่างไรก็ตาม จีนยังไม่รีบตอบโต้ด้วยภาษีทันที แต่เลือกใช้กลยุทธ์ระยะยาว เช่น กระตุ้นตลาดภายในประเทศและสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับพันธมิตรใหม่ แนวทางนี้สะท้อนให้เห็นว่าจีนมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณเตือนสหรัฐฯ ว่าการเผชิญหน้าทางการค้าอาจนำไปสู่ผลเสียที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันให้เลือกข้าง ทว่าทั้งสองประเทศอาจไม่ยอมอยู่เฉย
อินเดีย ซึ่งเคยเป็นเป้าหมายภาษีของทรัมป์มาก่อน อาจตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าอเมริกันที่มีมูลค่าสูง เช่น อุปกรณ์เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจส่งผลกระทบในหลายมิติ:
แม้ว่าทรัมป์จะเชื่อว่าภาษีเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายเตือนว่า การตอบโต้จากประเทศคู่ค้าอาจทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญผลกระทบที่หนักกว่าที่คาด