สิงคโปร์ชี้สหรัฐฯ ล้มระบบการค้า เสี่ยงซ้ำรอยยุคก่อนสงครามโลก

05 เม.ย. 2568 | 05:10 น.
อัปเดตล่าสุด :05 เม.ย. 2568 | 05:10 น.

นายกฯ สิงคโปร์เตือน "โลกที่เคยสงบจะไม่กลับมาอีกในเร็ววัน" หลังสหรัฐฯ เริ่มตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่ต่อทุกประเทศ ชี้สงครามการค้าใหญ่กำลังมา

หลังจากสหรัฐอเมริกาเดินหน้าประกาศตั้งกำแพงภาษีชุดใหม่กับเกือบทุกประเทศคู่ค้า นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลอว์เรนซ์ หว่อง ออกแถลงการณ์ผ่านวิดีโอบน YouTube เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา เตือนประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความสงบและเสถียรภาพของโลกที่เราเคยรู้จัก จะไม่กลับมาในเร็ววันนี้” พร้อมเรียกร้องให้ชาวสิงคโปร์เตรียมใจรับมือกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงมากขึ้น

ลอว์เรนซ์ หว่อง กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดคือ “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบโลก” ซึ่งกฎกติกาที่เคยคุ้มครองประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ อาจไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป พร้อมเสริมว่า “ขอให้เราทุกคนเตรียมใจไว้ เพื่อจะไม่ถูกจับได้แบบไม่ทันตั้งตัว ความเสี่ยงเป็นเรื่องจริง และเดิมพันครั้งนี้สูงมาก”

ถึงแม้จะยอมรับว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคแห่งความวุ่นวาย นายกฯ หว่องยังคงให้ความเชื่อมั่นว่าหากสิงคโปร์ยืนหยัดร่วมกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว ประเทศก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและแนวโน้มของสงครามการค้าเต็มรูปแบบ

นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า โลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่สถานการณ์ที่ประเทศต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เฉพาะชาติ ใช้ทั้งอำนาจบีบบังคับและวิธีการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย โดยไม่คำนึงถึงกติกาหรือความร่วมมือระหว่างประเทศเหมือนในอดีต “เราจะยังคงตื่นตัว เราจะพัฒนาขีดความสามารถของเรา และเราจะเสริมสร้างพันธมิตรกับประเทศที่มีแนวคิดใกล้เคียงกัน” และยังเน้นย้ำว่า สิงคโปร์ยังมีจุดแข็งมากกว่าหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนสำรอง ความเป็นเอกภาพของสังคม และความมุ่งมั่นของรัฐบาล แต่ก็ต้องไม่ประมาท

คำเตือนของเขาเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีรอบใหม่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่ทรัมป์มองว่า “ปฏิบัติต่อสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม” เช่น จีน ซึ่งถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 34% ทำให้ยอดรวมภาษีนำเข้าสินค้าจีนพุ่งขึ้นเป็น 54%, สหภาพยุโรป 20%, ญี่ปุ่น 24% และอินเดีย 26%

แม้สิงคโปร์จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มฐานภาษีต่ำที่สุดที่ 10% แต่ผลกระทบโดยรวมกลับไม่อาจมองข้าม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ แกน คิม ยง เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ประเทศกำลังประเมินทิศทางเศรษฐกิจใหม่ และอาจต้องปรับเป้าหมายหรือมาตรการบางอย่างในอนาคต พร้อมเตือนครัวเรือนและภาคธุรกิจว่า “ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับพายุที่กำลังจะมา”

นอกจากนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอาวุโส ลี เซียน ลุง ยังออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ย้ำว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์จะได้รับผลกระทบ แม้ยังเร็วเกินไปที่จะระบุชัดเจนว่าจะรุนแรงเพียงใด

ในภาคเอกชน หลายธุรกิจและสมาคมการค้าในสิงคโปร์ต่างให้สัมภาษณ์กับ CNA โดยยอมรับว่า ขณะนี้พวกเขากำลังเตรียมรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก ส่วนในระยะยาว ความกังวลหลักคือภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ที่อาจลุกลามกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่

นายกฯ หว่องชี้ว่า สหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นผู้นำในการผลักดันระบบการค้าเสรีและกติกาพหุภาคี กำลังเปลี่ยนจุดยืนอย่างสิ้นเชิง โดยเลิกสนับสนุนระบบขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่เคยสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งให้แก่โลก รวมถึงสหรัฐฯ เอง “สิงคโปร์และหลายประเทศเรียกร้องให้ปฏิรูป WTO มาโดยตลอด แต่สิ่งที่สหรัฐฯ ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่การปฏิรูป แต่คือการละทิ้งทั้งระบบที่ตนเองสร้างขึ้นมา”

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ทิ้งท้ายว่า หากประเทศอื่นๆ เริ่มใช้มาตรการแบบเดียวกับสหรัฐฯ โลกอาจเข้าสู่ยุคแห่งลัทธิกีดกันทางการค้าแบบสุดขั้ว ซึ่งน่ากลัวที่สุดสำหรับประเทศเล็กและเปิดเสรีอย่างสิงคโปร์ “เรามีความเสี่ยงที่จะถูกเบียดขับ ถูกมองข้าม และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” โดยย้ำว่าสถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงทศวรรษ 1930 ที่สงครามการค้าไต่ระดับจนกลายเป็นความขัดแย้งทางทหาร และนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

บทเรียนจากอดีตและสัญญาณจากปัจจุบัน ทำให้สิงคโปร์ต้องเผชิญหน้ากับโลกใหม่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และการเตรียมตัวล่วงหน้าจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน