นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีและระดับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวันที่ 17 – 19 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะมีการนำเสนอแผนงานการขับเคลื่อนสู่การจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific: FTAAP) เพื่อให้ที่ประชุมเห็นชอบออกเป็นแถลงการณ์ ซึ่งจะกำหนดเป้าหมายการทำงานของเอเปคในเรื่องดังกล่าว
สำหรับแผนงาน FTAAP ประกอบด้วย การรวบรวมประเด็นที่สมาชิกเอเปคมีความสนใจร่วมกัน ทั้งด้านการค้าดั้งเดิม การค้าใหม่ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการเกิดวิกฤต ผ่านกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูล และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างสมาชิกเอเปค เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการจัดทำ FTAAP และมุ่งสู่เป้าหมายผลลัพธ์สำคัญของ FTAAP อาทิ การขยายการค้าการลงทุนภายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การลดอุปสรรคการค้าการลงทุนที่ไม่จำเป็น การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสมาชิกเอเปค และการลดช่องว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน
ปัจจุบันสมาชิกเอเปคอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงาน FTAAP ซึ่งจะเป็นแผนระยะ 4 ปี ระหว่างปี 2566 – 2569 มุ่งสู่การจัดทำ FTAAP ที่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทั้งด้านการค้า การลงทุน นวัตกรรม การเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็ง สมดุล ยั่งยืน และครอบคลุม โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเอเปคและผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เดือน พ.ย. นี้ เพื่อกำหนดเป้าหมายการทำงานของเอเปคต่อไป
สำหรับแนวคิด FTAAP เกิดจากข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) ต่อผู้นำเอเปค เมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่การผลักดัน FTAAP ยังไม่คืบหน้ามากนัก ซึ่งการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคของไทยในปีนี้ เป็นช่วงที่สมาชิกเอเปคเผชิญกับผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทุกฝ่ายเล็งเห็นถึงความสำคัญของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เพื่อเปิดเสรี ลดอุปสรรคการค้าการลงทุน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อและอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ โดยการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคกับ ABAC ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เป็นประธาน ที่ประชุมจึงเห็นพ้องว่าเขตเศรษฐกิจเอเปคจำเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนการจัดทำ FTAAP ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
เอเปค ประกอบด้วย สมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนฯ แคนาดา ชิลี จีน จีนฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรถึง 2,900 ล้านคน คิดเป็น 38% ของประชากรโลก มี GDP รวมกัน มูลค่า 52 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 62% หรือ 2 ใน 3 ของ GDP โลก นอกจากนี้ การจัดทำ FTAAP จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกเอเปคและไทย เนื่องจากไทยยังไม่มี FTA กับสมาชิกเอเปค อาทิ สหรัฐฯ แคนาดา รัสเซีย และเม็กซิโก
ทั้งนี้ ในปี 2564 การค้าระหว่างไทยกับเอเปคมีมูลค่า 12.2 ล้านล้านบาท (385 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็น 71.52% ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย โดยไทยส่งออกไปเอเปคมูลค่า 6.1 ล้านล้านบาท (195 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำเข้าจากเอเปคมูลค่า 6 ล้านล้านบาท (190 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 2565) การค้าระหว่างไทยกับเอเปค มีมูลค่า 10.7 ล้านล้านบาท (314 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 10.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปเอเปคมูลค่า 5.2 ล้านล้านบาท (155 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำเข้าจากเอเปค 5.4 ล้านล้านบาท (158 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)