ชีวิตของ “ปยุต กองสุวรรณ” หรือ “เชฟปอง” นั้นเปรียบเสมือนบทเพลงที่มีโน้ตดนตรีหลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงคีย์ที่ไม่คาดคิด เริ่มต้นจากความหลงใหลในเสียงดนตรีตั้งแต่เด็ก “เชฟปอง” เลือกศึกษาต่อคณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล แต่เส้นทางดนตรีกลับพาเขาไปสู่การเป็นซาวนด์ เอ็นจิเนียร์มืออาชีพ ด้วยการศึกษาต่อที่สถาบัน SAE Institute ประเทศออสเตรเลีย
ประสบการณ์ในวงการเพลง ทำให้เชฟปองได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังมากมาย และสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่เป็นที่รู้จัก แต่การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเพลงที่ถูกดิสรัปต์ด้วยเทคโนโลยี MP3 ส่งผลกระทบต่อรายได้และโอกาสในการทำงานของเขาอย่างมาก
ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล “เชฟปอง” จึงตัดสินใจหันมาเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต โดยเริ่มจากการเรียนทำอาหาร ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล
ความหลงใหลในเสียงดนตรี ได้หล่อหลอมให้เชฟปองมีความละเอียดอ่อนในการรับรู้รสชาติและกลิ่นอาหาร เขาสามารถนำความรู้ด้านเสียงมาประยุกต์ใช้ในการปรุงอาหารได้อย่างลงตัว ทำให้เมนูอาหารของเขามีความพิเศษและน่าสนใจ
จากนักดนตรีที่สร้างสรรค์บทเพลง เชฟปองได้กลายมาเป็นเชฟที่สร้างสรรค์เมนูอาหารที่อร่อยและประทับใจผู้คน เส้นทางชีวิตของเชฟปอง เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ และการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะนำไปสู่โอกาสและความสำเร็จที่ไม่คาดคิด
“เชฟปอง” เล่าให้ “ฐานเศรษฐกิจ” ฟังว่า ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ได้นำประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์ที่สั่งสมมาจากวงการดนตรีมาประยุกต์ใช้กับการทำอาหาร จนสามารถพลิกโฉมร้านอาหารครอบครัวให้เติบโตก้าวกระโดดจากเพียงไม่ถึง 10 สาขา สู่ 43 สาขาภายในประเทศ และขยายสาขาไปต่างประเทศถึง 3 สาขาที่ประเทศมาเลเซีย
ความท้าทายที่รุ่นที่ 3 ต้องเผชิญในการบริหารธุรกิจคือการสานต่อสิ่งที่รุ่นที่ 1 และ 2 ได้ทำไว้ให้ดี โดยต้องรักษาจุดเด่นและมาตรฐานที่มีอยู่ให้คงเดิม ในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาต่อยอดธุรกิจ เช่น การขยายสาขาไปทั่วโลกเพื่อให้ชื่อเสียงของอาหารไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล
นอกจากนี้ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์อาหารที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต้องคอยสอดส่องความต้องการของลูกค้าเพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสมแนวคิดหลักของ “เชฟปอง” คือการผสมผสานระหว่าง การรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิม ของร้านแหลมเจริญซีฟู้ด
ซึ่งเป็นรสชาติและมาตรฐานที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน กับ การปรับตัวเข้ากับเทรนด์อาหารที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
“เชฟปอง” บอกว่า “เมื่อเผชิญกับปัญหาเราใช้วิธีการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของปัญหาแต่ละประเภท จากนั้นจึงมอบหมายให้ทีมงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
หากปัญหามีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อองค์กรในวงกว้าง เชฟปองจะนำเสนอปัญหาต่อคณะผู้บริหาร เพื่อร่วมกันวางแผนและหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ”
ปัจจุบันแหลมเจริญ ซีฟู้ด เปิดมาแล้วกว่า 45 ปี มีทั้งหมด 43 สาขา แบ่งเป็น ไทย 40 สาขา และมาเลเซีย 3 สาขา โดยในปลายปีนี้มีแผนจะขยายเพิ่มอีก 3 สาขา ในกรุงเทพฯ พิษณุโลก และปีนัง ประเทศมาเลเซีย ซึ่งปีหน้ามีแผนออกเมนูใหม่ ที่มีเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เพิ่มนอกเหนือจากอาหารทะเล และกำลังศึกษาประเทศเวียดนามเพื่อขยายสาขาในอนาคต
ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าจะเป็นครอบครัวและชาวต่างชาติ แต่ตอนนี้มีการปรับเมนูให้เหมาะกับพนักงานออฟฟิศ และกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้นหรือลูกค้าที่มาทานเดียว เพื่อเพิ่มความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รองรับกลุ่มเป้าหมายใหม่
โดยเน้นเมนูที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ที่มีขนาดพอเหมาะ นอกจากนี้ทางบริษัทเห็นถึงไลฟ์สไตล์วัยรุ่นที่ชอบถ่ายรูป จึงได้ออกแบบสาขาแหลมเจริญ ซีฟู้ดเอกมัย ที่เป็นแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกและสาขาเดียวให้เป็นสาขาที่สามารถถ่ายรูปได้เกือบทุกมุม
เป็นการสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากสาขาอื่นๆ และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบการถ่ายภาพและการแบ่งปันบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของวัยรุ่นในปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และการสร้างแบรนด์ส่วนตัว
อีกทั้งยังสามารถดึงดูดอินฟลูเอนเซอร์ นักรีวิวอาหาร และนักสร้างคอนเทนต์ มาเยี่ยมชมและรีวิวร้าน เป็นการสร้างการรับรู้และกระแสความนิยมให้กับแบรนด์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ความท้าทายในอนาคตของธุรกิจร้านอาหาร คือการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ที่กำลังเกิดขึ้นในวงการร้านอาหาร การนำหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ การบริการลูกค้า และประสบการณ์โดยรวมของผู้บริโภคอย่างแน่นอน ธุรกิจร้านอาหารที่สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นผู้ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในอนาคต