*** จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การจะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาก็มีเพียงแค่การสร้างโอกาสในการกระจายและเข้าถึงวัคซีนดีๆ ให้ได้อย่างเท่าเทียม
ส่วนข่าววัคซีน ที่กำลังจะเข้ามาแล้วถูกหน่วยงานนั้น หรือ องค์กรนี้ดึงออกไป แบบไม่สมเหตุสมผล เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แน่นอนว่า เจ๊เมาธ์เข้าใจเรื่องดีมานด์ซับพลายที่ว่า วัคซีนมีน้อยและความต้องการมีสูง ทำให้เกิดการพยายามแย่งชิง แต่อย่างน้อยการบริหารจัดการอย่างมีระเบียบแบบแผนและโปร่งใส มันก็น่าจะช่วยได้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างมันก็วุ่นวายไม่รู้จักจบแบบนี้หละค่ะ
อย่างที่เจ๊เมาธ์บอก วัคซีนดีๆ พอเข้ามาที หน่วยงานต่างออกตัวขอแบ่ง บางหน่วยงานขอเบียด แบบไร้มนุษยธรรม ไม่ได้นึกถึงหน้าด่านบุคลากรทางการแพทย์ด้วยซ้ำ คิดแค่ว่าตรู...รอด...พรรคพวกรอด
ที่น่าเกลียดสุดๆ ก็พวกบอร์ดองค์กรตลาดทุนขนาดใหญ่ very Vip ไม่ได้ทางตรง ก็เสียบเข้าทางอ้อม เสียบเข้า 7 โรคร้าย...ระวังนะ เท่ากับแช่งตัวเอง ใครอ้วน ไม่มีโรค ระวังจะเกิดโรคตามปากนะคะ เจ๊เมาธ์ห่วง เพราะวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไร จะเป็นไปตามปาก
*** APURE ใช้เวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ ราคาขึ้นมาเกือบเท่าตัว โดยมีประเด็นเรื่องผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นได้ 35-40% ในรอบการดำเนินงานปี 2564...ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการได้ลูกค้าใหม่ เรื่องของการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต รวมไปถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนหลายคนสนใจใจหุ้นตัวนี้
อีกกระแสหนึ่ง มีข่าวว่ามีนักลงทุนแนววีไอระดับบิ๊กเนมอย่าง เสี่ย ส. และ เสี่ย ป. ต่างก็ได้แอบเข้ามาเก็บหุ้นตัวนี้ โดยมีสาเหตุอื่นที่อยู่นอกเหนือไปจากเรื่องของแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นพี/อี ต่ำตัวนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นอะไร จะเกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงาน 2/64 ที่กำลังจะประกาศออกมาหรือไม่ หรือว่า APURE จะมีการแจกอะไรที่มากกว่านี้หรือเปล่า อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กัน และถ้ามีความเคลื่อนไหวอื่น เจ๊เมาธ์ไม่พลาดที่จะเอามาอัพเดทให้แฟนๆ ของเจ๊ได้รับรู้ เอาเป็นว่าที่รู้ๆ ตอนนี้ APURE ยังน่าจะไปต่อได้อีกค่ะ
*** SCGP เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่เจ๊เมาธ์บอกมาตลอดว่า เป็นหุ้นที่จะต้องมีติดพอร์ตเอาไว้ แน่นอนว่าเรื่องของผลงานและแนวโน้มทางธุรกิจ ถือว่าเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจของ SCGP อยู่แล้ว... อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ กลยุทธ์การลงทุนด้วยการควบรวมกิจการ หรือ M&A (Mergers and Acquisitions) รวมไปถึงการเข้าซื้อหุ้นหรือ M&P (Merger and Partnership) ในบริษัทที่ทำธุรกิจในแนวทางเดียวกัน ทำให้ SCGP สามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดด และสำหรับ SCGP หากมองในระยะยาว ได้เห็นการเติบโตขึ้นถึง 23% ในปีนี้ เนื่องจากยอดขายและมาร์จิ้น จากธุรกิจของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้น
แต่ยังก่อน...ยังไม่ดีทั้งหมด เพราะถึงแม้มีแนวโน้มว่ากำไรของ SCGP ในไตรมาสที่ 2/64 อาจจะโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถ้าเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา กำไรอาจจะปรับลดลงถึง 18% ซึ่งมีโอกาสที่ราคาหุ้นของ SCGP จะเดินเข้าไปสู่ช่วงการชะลอตัว หรือมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะปรับตัวลงได้ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรีบ ถ้ามีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรีบขาย...แต่ถ้าจะซื้อเพิ่ม รอจังหวะไปอีกซักนิดก็ดีนะคะ อาจจะได้ของถูกกว่านี้ก็ได้ค่ะ
*** LEO ของเสี่ยตุ๋ย “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” เป็นหุ้นอีกตัวที่เจ๊เมาธ์ เคยพูดถึงบ่อยๆ แน่นอนว่า เรื่องของรายได้ที่เกิดขึ้นจากค่าระวางสินค้าปรับเพิ่มสูงขึ้นที่สุดในรอบ 10 ปี จะส่งผลให้ LEO มีรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นมาก ไม่ต่างไปจากหุ้นโลจิสติกส์ตัวอื่น
สิ่งที่ LEO มีแตกต่างออกไปจากหุ้นตัวอื่น คือ การได้ลงนามเป็นตัวแทนและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขนส่งสินค้า E-commerce ระหว่างทั้งสองประเทศไทย-จีน ให้กับ China Post Yunnan ภายใต้ China Post Group ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ของประเทศจีนตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หมายความว่า ผลการดำเนินงาน 2/64 ที่กำลังจะออกมาเร็วๆ นี้ จะนับรวมเอารายได้จาการขนส่งสินค้าให้กับ China Post Yunnan ซึ่งมีประมาณ 30-35 ตันต่อเที่ยว ประมาณ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รวมเข้ามาอยู่ด้วยเต็มไตรมาสนั่นเอง
เจ๊เมาธ์ได้ยินแว่วๆ ว่ากำไร 2/64 อาจจะทำนิวไฮ...ในขณะที่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด 3/64 จะนิวไฮต่อเนื่องไปอีกด้วย จึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้น LEO กำลังถูกไล่ราคาสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่าเชื่อ แต่ให้รอดูผลการดำเนินงาน 2/64 ที่จะออกมา ดูแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ค่ะ
*** ดูเหมือนว่า BROOK ของตระกูล “บูลกุล” จะกลายเป็นหุ้นที่ถูกผูกเอาไว้กับราคาของเหรียญดิจิทัล (Cryptocurrency) ไปแล้วจริงๆ เพราะนับตั้งแต่บริษัทได้ประกาศตัวว่า ได้ลงทุนในบิตคอยน์ (Bitcoin) ราคาหุ้นของ BROOK ก็ดูเหมือนว่าจะเคลื่อนที่แบบไม่เป็นตัวของตัวเองโดยเคลื่อนที่ตามราคาบิตคอยน์โดยตลอด ประกอบกับภายหลังเมื่อราคาซื้อขายบิตคอยน์มีอันต้องร่วงลงไปเคลื่อนที่อยู่แถวๆ 30,000 ดอลลาร์/บิตคอยน์ เนื่องจากหลายสาเหตุ ก็ทำให้ราคาหุ้นของ BROOK ดูเหมือนจะปรับตัวร่วงลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามล่าสุดเมื่อราคาซื้อขายบิตคอยน์ดีดกลับคืนมายืนเหนือราคา 37,000 ดอลลาร์/บิตคอยน์ ก็ทำให้ราคาหุ้นของ BROOK ขยับแรงขึ้นตามไปเช่นกัน
เจ๊เมาธ์มองว่า การที่ราคาหุ้น BROOK ต้องวิ่งตามราคาบิตคอยน์เพียงอย่างเดียว มันดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลนัก เพราะบิตคอยน์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการลงทุนของ BROOK เท่านั้นเอง ซึ่งเมื่อราคาหุ้นไม่สะท้อนถึงธุรกิจและผลการดำเนินงาน จำเป็นต้องระวัง เพราะมันแทบจะไม่ต่างจากการเล่นการพนันหรือการแทงหวยหุ้นนั่นเองเจ้าค่ะ